ถ้าตอนนี้คุณกำลังคิดอยู่ว่าอยากหางานแบบ Freelance คุณคิดถูกแล้ว เพราะว่าการทำงานในรูปแบบนี้มีข้อดีหลายอย่างที่คุณอาจจะนึกไม่ถึง หรือไป ๆ มา ๆ ก็อาจจะดีกว่าการเป็นพนักงานประจำอีกด้วย ยิ่งสำหรับคนที่รู้สึกว่าตัวเองมีความสามารถในการทำงานหลายอย่าง และไม่ได้อยากปิดกั้นตัวเองแค่งานเดียว การทำงานในรูปแบบนี้ยิ่งสามารถส่งเสริมคุณได้มากเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามการทำงานแบบ Freelance เป็นทางเลือกหนึ่ง ไม่ว่าคุณจะตัดสินใจทำงานในรูปแบบไหนก็ตาม การทำงานแต่ละรูปแบบก็มีข้อดีและข้อเสียที่ต่างกัน สำหรับหัวข้อในวันนี้ก็เหมือนเป็นการให้คุณได้เรียนรู้และเก็บการทำงานแบบ Freelance มากขึ้น และให้การทำงานในรูปแบบนี้ได้เข้าไปเป็นตัวเลือกในชีวิตการทำงานของคุณเพียงเท่านั้น
นอกเหนือจากความต้องการในการทำงานแบบ Freelance ที่เพิ่มมากขึ้น หลายบริษัทก็เปิดรับพนักงานในรูปแบบของ Freelance หรือพนักงานอิสระมากขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นถ้าหากสนใจทำงานรูปแบบนี้ในตอนนี้ บอกเลยว่าคุณมีตัวเลือกบริษัทและรูปแบบงานอยู่มากเลยทีเดียว
วันนี้ CareerVisa จะมาเปิดข้อดีของการทำงานในรูปแบบ Freelance ให้ทุกคนได้อ่านกัน ลองเก็บข้อดีเหล่านี้ไปเป็นเหตุผลในการตัดสินใจทำงานในรูปแบบนี้กันนะ
[7 ข้อดีของการทำงานในรูปแบบ Freelance]
1) มีอิสระในการทำสิ่งต่าง ๆ : หนึ่งข้อดีใหญ่ ๆ ของการทำงานรูปแบบ Freelance คือการที่เราสามารถทำอย่างอื่นร่วมกันได้ ไม่ว่าจะเป็นการมีธุรกิจส่วนตัว หรือการเอาเวลาไปรับงานเสริมเพิ่มอีก เพื่อเพิ่มรายได้หลายช่องทางให้กับตัวเอง บอกเลยว่าค่อนข้างเป็นเหตุผลใหญ่หลัก ๆ ในการตัดสินใจทำงานรูปแบบนี้ของหลาย ๆ คน
2) เวลาทำงานที่ยืดหยุ่น : แตกต่างกับการทำงานเป็นพนักงานประจำในบริษัทที่ต้องเข้าทำงานตามเวลาที่กำหนด การทำงาน Freelance สามารถเลือกทำงานตามเวลาที่ตัวเองต้องการได้ เพียงแต่ว่าต้องส่งงานตามเวลาที่กำหนด หรือผลลัพธ์งานออกมาเป็นตามที่ต้องการของนายจ้างเป็นพอ
3) จัดการสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเองได้ : เพราะการทำงานเป็นพนักงานประจำ เรามีหัวหน้าทีมเป็นคนคอยจัดการสิ่งต่าง ๆ หรือวางแผนเรื่องการแจกจ่ายงานให้ แต่หากเรารับงานในรูปแบบ Freelance เราสามารถเลือกเองได้ว่าจะรับทำงานไหนหรือไม่รับงานไหน ด้วยการจัดการการทำงานด้วยตัวเราเอง
4) ทำงานจากที่ไหนก็ได้ : แทบจะทุกบริษัทที่พนักงานประจำต้องเข้าไปทำงานในออฟฟิศตามเวลาที่กำหนด แต่การทำงานรูปแบบ Freelance อาจจะไม่จำเป็นต้องเข้าไปทำงานในออฟฟิศแต่สามารถเลือกที่จะทำงานจากที่ไหนก็ได้ เพียงแต่ต้องทำงานออกมาให้ได้ตามเป้าหมายก็พอแล้ว
5) ควบคุมรายได้ของตัวเองได้ : เราสามารถเพิ่มหรือลดรายได้ของตัวเองได้ ตามปริมาณงานที่เราอยากรับ เราสามารถเลือกรับงานที่ให้ค่าจ้างเราได้มากกว่าได้ ในกรณีที่มีหลากหลายงานเข้ามาในเวลาเดียวกัน เพราะว่างาน Freelance ไม่ได้มีรายได้ตายตัว และเราสามารถจัดแจงได้ด้วยตัวเอง รวมถึงยังตั้งอัตราการจ้างด้วยตัวเองได้อีกด้วยในหลาย ๆ ที่
6) พัฒนาทักษะการทำงานได้ดี : ส่วนใหญ่แล้วงาน Freelance จะต้องการว่าจ้างคนที่มีทักษะในการทำงานค่อนข้างสูง หรือเป็น Specialist ในสายงานนั้น ๆ เช่น Content writer, Graphic designer และ Marketing planner เป็นต้น ซึ่งถ้าหากเรารับงาน Freelance ที่หลากหลาย ได้เจอกับลูกค้าหรือตัวงานหลายรูปแบบ ก็เป็นข้อดีในการพัฒนาทักษะเฉพาะทางของตัวเองไปในตัว และสามารถนำไปต่อยอดกับงานอื่น ๆ หรือเส้นทางสายอาชีพของตัวเองได้อย่างมากเลยทีเดียว
7) นำประสบการณ์มาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างธุรกิจของตัวเอง : เพราะเราได้ทำงานกับคนหลายรูปแบบ หรือธุรกิจหลายรูปแบบ ทำให้เราได้ลองตลาด หรือว่าศึกษาไปในตัวเอง ยิ่งทำงานตรงส่วนนี้เยอะเท่าไร ก็จะทำให้เรามองเห็นภาพกว้างขึ้นว่าเราเหมาะกับธุรกิจประเภทไหน หรือสินค้าประเภทไหน ซึ่งถ้าหากเรามีแผนที่จะมีธุรกิจส่วนตัวในอนาคต การได้เป็น Freelancer เข้าไปทำงานกับธุรกิจหลาย ๆ รูปแบบ ก็ทำให้ได้ความรู้หรือข้อมูลเชิงลึกมาต่อยอดไม่น้อยเลยทีเดียว
แต่ละคนมีสไตล์การทำงานที่แตกต่างกัน รวมถึงความต้องการก็แตกต่างกัน ลองถามตัวเองดี ๆ ว่าเราเหมาะกับการทำงานรูปแบบไหน ไม่มีรูปแบบไหนที่ดีไปกว่ากัน เพียงแต่ว่าการทำงานแต่ละรูปแบบมีข้อดีและข้อเสียของมัน ลองดูว่าเราเหมาะสมกับอะไรมากที่สุด และเลือกรูปแบบการทำางานที่ตัวเองอยากทำกันนะ
อ้างอิง : https://www.upwork.com/resources/advantages-of-being-a-freelancer