Framing คืออะไร ?
“Framing” หรือ “การตีกรอบความคิด” คือแนวคิดทางจิตวิทยาและการสื่อสารที่กล่าวถึงวิธีที่ข้อมูลหรือปัญหาถูกนำเสนอและทำให้เกิดการตีความในมุมมองที่ต่างกัน โดยกรอบหรือมุมมองนั้นจะกำหนดวิธีที่เรามองเห็นและเข้าใจสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง เช่น ถ้าหากปัญหาถูก “จัดกรอบ” ให้เน้นความเสี่ยง คนอาจจะตอบสนองแตกต่างจากกรอบที่เน้นผลประโยชน์หรือโอกาส
- เนื้อไม่มีไขมัน 75% VS. เนื้อมีไขมัน 25%
- ได้ที่ 2 รองชนะเลิศ VS. อดได้แชมป์
นี่คือตัวอย่างของ Framing หรือ “การตีกรอบความคิด” เป็นจิตวิทยาหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อมุมมองและความคิดของเราในทุกเรื่อง ซึ่งเราทุกคนล้วนตกอยู่ภายใต้กฎ Framing ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง ไม่เว้นแม้แต่ CEO / ศาสตราจารย์ / ผู้เชี่ยวชาญ
การตีกรอบความคิด เป็นได้หลายรูปแบบมากๆ เช่น…
คำนิยาม
- ห้องคอนโดสมัยใหม่ VS. พื้นที่ในการสร้างครอบครัว
- ห้องทำงาน VS. ห้องสร้างสรรค์ผลงาน
- ชงกาแฟดริป VS. ศิลปะแห่งความพิถีพิถัน
คำพูด
- คุณรู้สึกอย่างไรกับสินค้านี้? (เป็นกลาง)
- คุณชอบสินค้านี้อย่างไร? (โฟกัสด้านบวก)
- Deadline เย็นนี้แล้ว ทำไมโปรเจ็คท์ยังไม่เสร็จอีก?!! (พนง.อาจหาข้ออ้าง)
- รีบทำโปรเจ็คท์ให้เสร็จซะ Deadline เย็นนี้แล้ว! (พนง.รีบปั่นงานให้เสร็จ)
ไม่สำคัญว่าคุณจะพูดอะไร…สำคัญว่าคุณพูด “อย่างไร” เรื่องเดียวกัน แต่เราตอบสนอง-คิด แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าได้รับสารแบบไหน
ตัวเลข
มีผลการทดลองในเนื้อ 2 แบบระหว่าง 99% fat-free VS. 1% fat นักวิจัยถามผู้ทดลองว่า…คิดว่าแบบไหน ‘ดีต่อสุขภาพ’ กว่า? ผู้ทดลองส่วนใหญ่เลือกแบบแรก…ทั้งๆ ที่ทั้งคู่เหมือนกัน! ที่แล้วกันใหญ่กันคือ…
มีการเปลี่ยนเป็น 98% fat-free VS. 1% fat คนส่วนใหญ่ก็ยังคงเลือกแบบแรกอยู่ดี…ทั้งๆ ที่ไขมันมากกว่า! เพราะข้อความแรกตีกรอบความคิดให้โฟกัสที่ “fat-free” ปราศจากไขมัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการ ขณะที่ข้อความสองโฟกัสที่ “fat” ไขมัน ซึ่งมีภาพลักษณ์แง่ลบ
การตีกรอบความคิดไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวแต่อย่างใด อันที่จริง เป็นหน้าที่ของผู้บริหาร-ผู้นำองค์กร ที่จะต้องตีกรอบความคิดให้พนักงานตัวเองด้วยซ้ำ ในการโน้มน้าว / มอบวิสัยทัศน์ / สร้างแรงบันดาลใจ หัดมอง “วิกฤติปัญหา” ให้เป็น “โอกาสในการลองทำสิ่งใหม่ๆ” มอง “การมาทำงานในแต่ละวัน” เป็น “สร้างคุณค่าให้ตัวเองในทุกวัน”
คุณ Rolf Dobelli ผู้เขียนหนังสือขายดีอย่าง The Art of Thinking Clearly เสริมว่า การตีกรอบยังถูกพลิกมาใช้เป็นด้านบวกกับตัวเราได้ด้วย (Positive Framing)
- งดกินไขมัน ประหยัดเวลาวิ่งลงได้ 30 นาที
- ใส่แมสก์ เพิ่มความเป็นส่วนตัวในที่สาธารณะ
แต่ทั้งนี้ Positive Framing ต้องตั้งอยู่บนรากฐานของความเป็นจริง ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นการ “เลี่ยงบาลี” (Glossing) ดังที่เราเห็นจาก “น้ำท่วม” ถูกบิดคำเป็น “น้ำรอระบาย”..
ถ้าชอบบทความแบบนี้ อย่าลืมกดไลค์-กดแชร์ และ…กดคลิกเข้าไปสำรวจ “แบบประเมินอาชีพฟรี” จาก CareerVisa เพื่อค้นหาอนาคตในฝัน ได้ที่ >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/
อ้างอิง
- หนังสือ Dollars and Sense โดย Dan Ariely
- หนังสือ The Art of Thinking Clearly โดย Rolf Dobelli
- https://boycewire.com/
- https://www.psychologytoday.com/us/blog/consumed/201205/youve-been-framed
- https://thedecisionlab.com/biases
- https://blog.coursesquare.co/2015/07/psychological-studies-for-marketers/
- https://mgronline.com/live/detail/9590000062086