รวมเทคนิคที่หัวหน้าใช้ต่อรองไม่ให้ลูกน้องลาออก

เคยไหม? เรารู้สึกเสียดายคนคุณภาพ เพราะลูกน้องคนโปรดจู่ๆ มายื่นใบลาออกเอาดื้อๆ แบบไม่มีสัญญาณบอกล่วงหน้า

ความจริงแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด เช่น ปัญหาสุขภาพคนในครอบครัวเลยต้องลาออกไปดูแล…การลาออกของลูกน้องที่เหมือนเกิดขึ้นทันทีทันใด ย่อมมีสัญญาณล่วงหน้าเสมอ เพียงแค่เรามองไม่เห็นหรือมองไม่ออกเองต่างหาก และบ่อยครั้งที่สัญญาณนั้น สาเหตุมาจากตัวหัวหน้าแบบเราเองด้วยซ้ำ! ยิ่งสร้างความเสียใจเข้าไปใหญ่

 

แต่แล้วก็เป็นตัวหัวหน้าเองเช่นกัน! ที่มีบทบาทปรับเปลี่ยนตัวเอง สร้างกลไก หรือทำทุกอย่างเพื่อ “รั้ง-ยื้อ-ดีเลย์” การยื่นใบลาออกของลูกน้องไปให้ได้นานที่สุด

 

เรามาดูกันว่า หัวหน้าควรทำอย่างไร เพื่อที่จะ รั้ง-ยื้อ-ดีเลย์ จนลูกน้องยอมเปลี่ยนใจไม่ลาออก

 

1)เปลี่ยนพฤติกรรมตัวเอง

 

ย้อนกลับไปที่ต้นทาง นี่คือการป้องกันการเกิดปัญหาลาออกในระยะยาว ด้วยการเฝ้าสังเกตอาการ ค้นหา “สัญญาณ” ล่วงหน้า 

 

หัวหน้าที่เฝ้าระมัดระวังต้องคอยสังเกต 3 เรื่องนี้ในตัวลูกน้องให้ดี เพื่อให้แฟร์ยุติธรรมกับลูกน้อง

 

  • เรื่องงาน – ลูกน้องอาจเจอกับงานหนักจน burnout หรืองานไม่ใช่ทางไม่ตรงจุดกับ skill ตัวเอง หรืองานที่ต้องดีลกับคนเยอะเกินไปจนตัดสินใจเองไม่ได้ หรือแม้แต่งานที่สเกลเล็กเกินไปสำหรับกลุ่ม Top talents ที่ไม่ได้สร้าง impact มากพอ

 

  • คน – เป็นอีกเรื่องเซนซิทีฟที่ต้องอย่ามองข้ามรายละเอียด อย่าเอาจริตชุดความคิดของเราเป็นที่ตั้ง แต่ต้องมี empathy มากในมุมมองพนักงานคนนั้น สิ่งที่หัวหน้ามองข้ามไป ก็คือ บางทีปัญหาคนอาจไม่ได้มาจากความสัมพันธ์ส่วนบุคคลหรือเคมีที่ถูกจริตกันระหว่างพนักงานเสมอไป แต่มาจาก “ระบบการทำงาน” ที่ขั้นตอนเยอะเกินไป ต้องขอ approve จากสมาชิกทีมเยอะเกินไป นำมาสู่ความล่าช้าและเบื่อหน่ายในการทำงานได้

 

  • ผลตอบแทน – เรื่องนี้หัวหน้าต้องดีลกับฝ่าย HR อยู่เสมอ เงินเดือนพนักงานเก่งๆ คนนี้สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วไปรึเปล่า? หรือเงินเดือนขึ้นตามมาตรฐานรึเปล่า? ผลงานดีและผลประกอบการบริษัทดีก็ต้องให้โบนัสสมน้ำสมเนื้อแค่ไหน

 

คนที่ตัดสินใจด้วยอารมณ์หรือสภาพวะการทำงานบ่าสุด เช่น งานหนักเกินไปจนเริ่มกระทบวันหยุด…เคสนี้ยังพอแก้ไขได้



2) ทอล์ค ทอล์ค ทอล์ค

 

หัวหน้าต้องอย่าเอาแต่สั่งงาน สั่งงาน สั่งงาน แต่ลองพูดคุย small talk กับลูกน้องบ้าง หัดเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์เปิดกว้าง ผลวิจัยเผยว่า small talk เล็กๆ น้อยๆ ที่ดูเหมือนไร้สาระในการทำงาน กลับช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานกันเอง และระหว่างหัวหน้า-ลูกน้อง

 

นอกจากนี้ เพราะยิ่งคุย จึงยิ่งรู้ปัญหา รู้ unmet want รู้ insight ทั้งเรื่องการงาน เรื่องส่วนตัว ครอบครัวความสัมพันธ์ ซึ่งแม้ในระดับมืออาชีพเราจะพูดเสมอว่า ให้แยกเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องงาน แต่ชีวิตจริงพนักงานหลายคนไม่สามารถทำแบบนั้นได้ 

 

ในบริบทนี้ หัวหน้าจึงไม่ใช่แค่หัวหน้าสั่งงานอีกต่อไป แต่กลายเป็นเสมือนที่ปรึกษา เมนเตอร์ หรือแม้แต่ที่พึ่งทางจิตใจ

 

การพูดคุยเยอะๆ ยังหมายถึงพูดคุยเพื่อรั้งชะลอการลาออกด้วยในกรณีที่เจ้าตัวมาปรึกษาขอลาออก หัวหน้าช่วยจุดนี้ได้มากด้วยการช่วยไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ค้นหาสาเหตุปัญหาที่ทำให้อยากลาออก

 

3)สร้างเป้าหมายใหม่

 

โดยเฉพาะกับกลุ่ม Top talents ที่ลาออกเปลี่ยนงานบ่อยเพราะชอบหาความท้าทายใหม่ๆ และเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ 

 

หัวหน้ารั้ง-ยื้อ-ดีเลย์กลุ่มนี้ได้ด้วยการตั้งเป้าหมายใหม่ๆ ที่ใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง เปิดโปรเจคท์ใหม่ที่กินเวลาตลอดทั้งปี โดยกำชับว่า โปรเจคท์จะสำเร็จได้ ต้องมาจากความร่วมมือของทุกคน

 

วิธีทางลัดที่น่าสนใจคือ ให้ “ต่อยอด” จากผลงานความสำเร็จของตัวลูกน้องคนนั้นไปเลย เช่น สมมติว่าเป็นเอเจนซี่การตลาด ปีที่ผ่านมาได้ปั้นช่อง TikTok ให้กับ Influencer เจ้าหนึ่งโดยเน้นขายสินค้าตรงๆ จนสำเร็จแล้ว ก็ต่อยดสู่การ “เปิดช่องใหม่” โดยเน้นที่ Lifestyle ชีวิตส่วนตัวของ Influencer คนเดิม 

 

วิธีนี้ช่วยให้พนักงานคนนั้นเห็นไอเดียตัวเองผลิบานออกสู่ตลาดจริง และแทนที่จะลาออก อาจจะอยู่ต่อยาวๆ เลยกรณีที่ประสบความสำเร็จอีกครั้ง



4)ทำให้รู้สึกเป็นคนสำคัญ

 

ในการทำงาน ลูกน้องทุกคนลึกๆ อยากได้รับการยอมรับ ถูกเอ่ยถึง ถูกเอ่ยชม…หรือพูดให้ถูกคือ ทุกคนต้องการรู้สึกเป็น “คนสำคัญของทีม” ไม่มากก็น้อย ตัวเอง belong เป็นส่วนหนึ่ง ตัวเอง contribute สร้างคุณค่าดีๆ ให้ทีม

 

หัวหน้าต้องมีวาทศิลป์ในการพูดจาและตั้งคำถาม เช่น

  • “ผมช่วยอะไรคุณได้บ้าง?” – การที่หัวหน้าขอความช่วยเหลือจากลูกน้อง ทำให้ลูกน้องรู้สึกเป็นคนสำคัญ หัวหน้าถึงขนาดต้องมาขอความช่วยเหลือ

 

  • “ผมไว้ใจคุณให้ทำงานนี้นะ” – เป็นการสร้าง trust โดยตรงกับลูกน้องว่าหัวหน้าไว้วางใจคุณนะ และยังมีความรู้สึกแฝงด้วยว่า ถ้าเกิดผลลัพธ์ออกมาผิดพลาด ก็จะร่วมแก้ปัญหาไปด้วยกัน

 

  • “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องทำยังไง” – มองเผินๆ วิธีนี้แสดงออกถึงความอ่อนแอ แต่ผลวิจัยเผยว่า คนที่อยู่ตำแหน่งสูงและเปิดเผยความอ่อนแอ หรือความไม่รู้ออกมาบ้าง กลับทำให้ผู้คนทั่วไปรู้สึกเข้าถึงได้ รู้สึกเป็นพวกเดียวกัน และพร้อมยื่นมือช่วยเหลือ

 

  • “ปิดท้ายด้วยการขอบคุณบ่อยๆ” – วิธีเบสิคที่เรียบง่ายและเวิร์คมากๆ คือการ recognize ลูกน้องด้วยการพูดขอบคุณไปตรงๆ คำขอบคุณเป็นคำสั้นๆ ที่ทรงพลัง สร้างแรงบันดาลใจ บิ้วด์ลูกทีมให้รู้สึกมีค่า ไม่อยากลาออกแต่อยากลุยงานต่อกันไป

 

เพียงหัวหน้าลองเปลี่ยนตัวเองและทำตามแบบนี้ ลูกน้องหลายคนก็ต้องครุ่นคิดเปลี่ยนใจไม่ลาออกกันบ้างหน่า!

 

แม้สุดท้ายแล้ว ลูกน้องเกิดเหตุสุดวิสัยต่างๆ นานาที่ทำให้ก็ยังต้องลาออกอยู่ดี หัวหน้าก็ควรซัพพอร์ต ให้กำลังใจ ให้คำแนะนำที่มีประโยชน์ในเส้นทางของเขาต่อไป

 

และที่สำคัญ ควร keep connection กันไว้ เพราะหลังลาออกไปแล้ว อนาคตอาจได้ร่วมงานกันในบริบทอื่น ไปเจอกันตามงานอีเวนต์ ใช้บริการลูกค้าเจ้าเดียวกัน เจอปัญหาในอุตสาหกรรมเหมือนกัน เพราะอนาคตเส้นทางการทำงานมีโอกาสกลับมาโคจรตัดกันได้อยู่นั่นเอง



อ้างอิง

Author

  • รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน

Related   Articles

Laura Vanderkam
ไม่มีคำว่า “ไม่มีเวลา” อีกต่อไปถ้าคุณมี Mindset แบบนี้ โดย Laura Vanderkam นักเขียนชื่อดังด้านการจัดการเวลา
สรุปวิธีคิดที่จะทำให้คุณ “มีเวลา” สำหรับสิ่งสำคัญในชีวิต โดยลอรา แวนเดอร์แคม (Laura Vanderkam) นักเขียนชื่อดังด้านการจัดการเวลา ผู้บรรยาย TED Talk ที่มียอดวิวหลายล้าน...
Vacation Blues
10 เคล็ดลับ "Bounce Back" สลัดอาการ "Vacation Blues" ให้หายเป็นปลิดทิ้ง!
อาการ “Vacation Blues” หรือความเศร้าหลังไปเที่ยวหยุดยาว เป็นอาการปกติที่เล่นงานคนทำงานอย่างหนักอึ้ง ซึ่งเกิดขึ้นกับคนทำงานหลายคนโดยเฉพาะช่วงหยุดยาว อย่างไรก็ตามการจมกับความเศร้าหลังเที่ยวไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก...
Harvard Business Review
ผลสำรวจพบเทรนด์ใหม่คนทำงาน เลือกใช้ AI ดูแลจิตใจแซงการทำงาน โดย Harvard Business Review
งานวิจัยจาก Harvard Business Review เพิ่งออกมา มีผลสำรวจพบว่าคนทำงานเปลี่ยนการใช้ AI จากเครื่องมือทำงาน มาเป็น “เพื่อนคู่ใจ” แทน สิ่งที่เปลี่ยนไปในปี...