Productive Walk : คิดสร้างสรรค์ได้ง่ายๆ แค่ออกเดิน !

Productive Walk
ชาวอเมริกันนั่งเฉลี่ย 9.3 ชั่วโมง/วันพนักงานส่วนใหญ่นั่งประชุมราว 4 ชั่วโมง/สัปดาห์CEO ส่วนใหญ่นั่งประชุมราว 2.5 ชั่วโมง/วัน

ตัวเลขนี้ในชาติอื่นทั่วโลกก็เยอะไม่แพ้กัน พวกเราใช้เวลาไปกับการนั่งและไม่เคลื่อนไหวมากไปรึเปล่า? นอกจากไม่ดีต่อสุขภาพร่างกายแล้ว ยังไม่ดีต่อการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพด้วย

และหารู้ไม่ว่าแค่การลุกขึ้นมา “เดิน” ก็สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และนำไปสู่คุณภาพชีวิตของเราโดยรวมที่ดีขึ้นได้!!

How? การเดินมาเกี่ยวข้องยังไงกับการงาน ( Productive Walk )

มนุษย์ไม่ใช่หุ่นยนต์ เราใช้ร่างกายและสมองในการทำงาน ทุกย่างก้าวของการทำงานหมายถึงทุกย่างก้าวของร่างกายที่ใช้ไปในเวลาเดียวกัน

แต่พฤติกรรมคนยุคปัจจุบันมักเป็นแบบ “Sedentary Activity” หรือกิจกรรมที่ไม่ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหว นั่งทำงานกับโต๊ะ นั่งรถติดในรถ 3 ชั่วโมง นั่งประชุมยาวๆ 6 ชม. นอนเล่นมือถือ

ซึ่งพฤติกรรมโลกยุคใหม่นี้มันไม่สอดคล้องกับร่างกายที่มนุษย์วิวัฒนาการมา ร่างกายเราถูกออกแบบมาให้เคลื่อนไหวอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเราไม่เคลื่อนไหว เราจะป่วยอ่อนเพลียจนโรคภัยถามหา (อีกหนึ่งเหตุผลที่ว่าทำไมคนเราต้อง ‘ออกกำลังกายตลอดชีวิต’)

การเปลี่ยนแปลงต้องกลับไปสู่พื้นฐานที่ร่างกายมนุษย์วิวัฒนาการมา นั่นคือการเดิน(สองขา)

วารสารการแพทย์มากมายเผยว่า การเดินเฉลี่ยวันละเพียง 30 นาทีช่วยลดโอกาสเกิดโรคสมองเสื่อม, มะเร็งเต้านม, และโรคหัวใจได้อย่างมีนัยยะสำคัญ

นักวิจัยจาก Stanford University เผยว่า จะยิ่งดีมากถ้าคุณสามารถเดินอยู่ท่ามกลางพื้นที่สีเขียวที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้นานาพรรณ มันมอบความผ่อนคลายให้คุณ สามารถชะโลมจิตใจ ลดความหยาบกระด้างของเมือง…และของจิตใจคุณ

นักวิจัยกลุ่มนี้ทดลองสแกนสมองของผู้เข้าร่วมการทดลองหลังจาก เดินในสวน VS. เดินในเมือง(ที่พลุกพล่าน) เป็นเวลา 90 นาที พบว่าเส้นใยประสาทที่เชื่อมโยงถึงการเกิดอารมณ์แง่ลบ พบในคนเดินในเมืองมากกว่าคนเดินในสวนอย่างมีนัยยะสำคัญ

อีกผลวิจัยในปี 2014 ที่ทำกับนักศึกษามหาวิทยาลัยจำนวน 176 คนพบว่า เมื่อเปรียบเทียบระหว่าง เดิน VS. นั่ง พบว่าการเดินช่วยกระตุ้น “ความคิดสร้างสรรค์” มากกว่าการนั่งอยู่เฉยๆ ถึง 60%!!

Productive Walk

สมองคนเราโฟกัสได้เต็มที่ไม่เกิน 90-120 นาที ก่อนต้อง “พัก” (Rest) และการเดินเป็นการพักชั้นเลิศรูปแบบหนึ่ง จากผลวิจัยระบุว่า การเดินเพียง 12 นาทีก็สามารถปรับอารมณ์เราให้ดีขึ้นได้แล้ว และยังกระตุ้นสมองให้กลับมาโฟกัสสิ่งต่างๆ ได้อย่างมีสติขึ้น

โดยจะดีมากถ้าหากเดินแบบไม่คิดอะไรในหัวได้ (Thoughtless Walk) หรือเราอาจเรียกว่า ‘เดินทำสมาธิ’ ก็ได้ ปล่อยสมองให้ว่างเปล่า หยุดฟุ้งซ่าน อยู่กับปัจจุบันขณะ…หลายคนอาจพบว่าไอเดียบางอย่าง ‘แว่บ’ เข้ามาในหัวช่วงเวลามหัศจรรย์นี้

นอกจากนี้ การเดินยังทำให้เรารับรู้ความเป็นไปของสภาพสังคมรอบตัว (ไม่ใช่แค่นั่งรถผ่าน) ออกมาเดินสำรวจข้างถนนบ้าง เราอาจเข้าใจชีวิตอันหลากหลายของผู้คนมากขึ้น นำไปสู่การออกแบบสินค้า-บริการที่ตอบโจทย์มากขึ้น

ถ้าอยากหาข้อสรุปที่ใกล้ตัวที่สุด ให้คิดซะว่าการเดินช่วยลดอาการ “Office Syndrome” หรือกลุ่มของโรคที่เกิดจากการทำงานที่ไม่เหมาะสมเป็นเวลานาน เช่น นั่งโต๊ะทำงานนานหลายชั่วโมงโดยไม่ได้ลุกไปไหน

การเดินของเหล่า CEO 

Mark Zuckerberg ซีอีโอของ Facebook ขึ้นชื่อในเรื่อง “Walking Meeting” หรือประชุมไป-เดินไป ซึ่งเขาได้ผสานมันมาเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานในชีวิตประจำวันมานานแล้ว

ตามที่สำนักข่าว Bloomberg รายงาน การเข้าซื้อ WhatsApp ของ Facebook ด้วยมูลค่ากว่า 19,000 ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐ เกิดขึ้นหลัง Mark Zuckerberg และผู้บริหารระดับสูงของ WhatsApp ทำการเดินไป-ประชุมไปหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งมาถึงตอนนี้เรารู้แล้วว่า นี่เป็นดีลซื้อขายที่คุ้มค่ามากของ Facebook

Sundar Pichai ซีอีโอของ Google เผยว่า “เวลาจะคิดไอเดียใหม่ๆ…ผมจะเริ่มออกเดิน”

Richard Branson ผู้ก่อตั้ง Virgin Group ยังกล่าวว่า “หลายครั้งที่ผมตัดสินใจและปิดดีลธุรกิจระหว่างการเดิน”

Productive Walk

ไม่ใช่แค่บริษัทยักษ์ใหญ่ แต่การเดินยังถูกนำไปใช้กับบริษัทขนาดเล็ก-กลางด้วย

คุณ Susan Baroncini-Moe ซีอีโอจาก The BounceBack Artist บริษัทที่เชี่ยวชาญด้านโค้ชชิ้ง เผยวัฒนธรรมองค์กรอันแตกต่างของเธออย่างหนึ่ง คือ “You Meet, You Move.” ทุกการประชุมทางไกลต้องเกิดขึ้นไปพร้อมกับการเคลื่อนไหวร่างกายทางใดทางหนึ่ง การประชุมเริ่มต้นด้วยการที่แต่ละคนบอกกับคนอื่นว่า…กำลังเดินสวนอยู่-วิ่งบนลู่วิ่งอยู่-ปั่นจักรยานอยู่

เธอเผยว่าไม่ได้ทำเอาเก๋ๆ ตามกระแส แต่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนมาแล้ว เพราะการเคลื่อนไหวช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ สมองเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย เมื่อเราเคลื่อนไหวเลือดจะสูบฉีดไปเลี้ยงสมองดีขึ้น 

ไม่แปลกที่คุณจะได้ยินเสียงคนเข้าประชุมที่นี่ ‘หอบไป-คุยไป’ ซึ่งเธอบอก “นั่นเป็นสัญญาณที่ดี”

การทำงานยุคใหม่ 

อะไรที่มันไม่สอดคล้องกับธรรมชาติร่างกายของมนุษย์จะเริ่มถูกปัดทิ้งไป 

มูลค่าความเสียหายของอาการ Office Syndrome ที่เกิดแก่ตัวบุคคล สังคม และธุรกิจ เป็นตัวจุดชนวนให้คนหันมาใส่ใจเรื่องการเดินและการทำงานที่สอดคล้องกับร่างกายมนุษย์มากขึ้นแล้ว

Apple Park ฐานบัญชาการใหญ่ของบริษัท Apple มูลค่ากว่า 150,000 ล้านบาท (สูงกว่าสนามบินสุวรรณภูมิ) ก็ถูกออกแบบมาให้มีพื้นที่สีเขียวและพื้นที่โล่งกว้างใหญ่ไพศาล เพื่อทำกิจกรรมต่างๆ จัดอีเว้นท์ วิ่ง และ…เดิน

เราเริ่มเห็นเทรนด์นี้มากขึ้นแล้วใน ‘มิติ’ อื่น

ออฟฟิศสมัยใหม่หลายแห่ง มีการผนวกศาสตร์การออกแบบที่รองรับการเดินและปฏิสัมพันธ์ของพนักงานเผื่อไว้ตั้งแต่โครงสร้างของตึกแล้ว ดีไซน์ให้เดินได้ต่อเนื่อง เดินหน้ากระดานได้หลายคน ทัศนวิสัยน์มองเห็นทะลุไปไกล มีพื้นที่สีเขียวรายล้อม…จากแต่ก่อนที่พนักงานมักมาพบปะคุยกันแค่ตรง…ตู้กดน้ำ (Water-Cooler Chat)

Google สร้างห้องนอนที่มืดสนิทในออฟฟิศให้พนักงานพักผ่อนเมื่อง่วง (เพลียก็นอน!) รวมถึงให้พนักงานออกแบบตารางการทำงานที่ยืดหยุ่นขึ้นให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ตัวเอง (บอกลา 9-5!)

เราเดินทางมาไกลพอแล้ว ถึงตรงนี้เราตระหนักดีแล้วว่าเรื่องเรียบง่ายอย่างการเดิน…พาเราไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้จริงๆ

ถึงเวลาตัวคุณพิสูจน์เองโดยการออกเดินแล้ว..

.

.

และจะดีมาก ถ้าคุณเดินไป-ทำ…“แบบประเมินอาชีพ” ไปจาก CareerVisa ซึ่งช่วยโอกาสให้คุณเจออาชีพในฝันที่ใช่! >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/

อ้างอิง

Author

  • รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน

Related   Articles

TKI Framework
รู้ก่อน จัดการได้! สำรวจ 5 วิธีตอบสนองต่อความขัดแย้งในทีมด้วย TKI Framework
เพราะคนแต่ละคนมี “สไตล์” ในการจัดการความขัดแย้งต่างกัน การเข้าใจสไตล์เหล่านี้ช่วยให้เรา คุยกันรู้เรื่อง ไม่ขัดกันลึก และ สร้างทีมเวิร์คที่แข็งแรงขึ้น TKI...
The First 20 Hours
"เคล็ดลับเก่งเร็วใน 20 ชั่วโมงแรกของการเรียน" สรุปแนวคิดจาก Josh Kaufman ผู้เขียน The First 20 Hours
สรุปแนวคิดจาก Josh Kaufman ผู้เขียน The First 20 Hours เกี่ยวกับวิธีเรียนรู้ทักษะใหม่ให้ได้ผลในเวลาเพียง 20 ชั่วโมงแรก โดยเน้นกลยุทธ์ที่เป็นระบบและปฏิบัติได้จริง...
Way of Working 2025
Way of Working 2025: องค์กรต้องเปลี่ยนอย่างไรให้คนอยากอยู่
ในโลกการทำงานที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ไลฟ์สไตล์และความคาดหวังของคนทำงานก็เปลี่ยนตามอย่างรวดเร็วเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ปี 2025 ที่แรงขับเคลื่อนจากเทคโนโลยี...