Productive Leadership – บริหารองค์กรให้ Productive ได้ แม้ WFH

เพิ่ม Productivity

เพิ่ม Productivity ด้วยสมการสุดคลาสิก : เพิ่ม Output ให้สูงๆ และลด Input ให้ต่ำที่สุด ดูเหมือนง่าย แต่ในชีวิตจริงมันกลับไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะทั้ง Output และ Input เกิดจากหลายปัจจัย และไม่ได้ตรงไปตรงมาเสมอไป

.

“Productivity = Output / Input”

พนักงานหนึ่งคนทำงานหนึ่งสัปดาห์ รวม 40 ชั่วโมง เพื่อผลิตสินค้าได้มูลค่า 10,000 บาท ผลิตภาพของเราก็จะอยู่ที่ 10,000/40 หรือ 250 บาทต่อชั่วโมง ในขณะที่เราจ่ายค่าจ้าง x บาทต่อชั่วโมง ปกติคุ้มไม่คุ้ม แต่เดิมก็ดูกันตรงนี้ แต่…Input ที่ใส่ลงไป กลับไม่ใช่แค่เวลาที่ใช้ไป แต่ยังมีอีกหลายส่วนผสมของพนักงานหนึ่งคน

HBR เขียนไว้ในรายงานเกี่ยวกับการ “เพิ่ม Productivity” ในองค์กรใหญ่ไว้อย่างน่าสนใจว่า มีปัจจัย 3 อย่างที่จะทำให้พนักงานสามารถเพิ่มผลิตภาพในงานได้ ได้แก่

  • Time : ‘เวลา’ ที่พนักงานคนหนึ่งทุ่มเทให้กับการทำงานชิ้นนั้นในแต่ละวันทำงาน หรือแม้แต่ในวันหยุด โดยไม่มีสิ่งรบกวนจากการสื่อสารออนไลน์ ประชุมที่ไม่เกิดประโยชน์ หรือกระบวนการที่ซ้ำซ้อนเกินความจำเป็น
  • Talent : ‘ความสามารถ’ ที่พนักงานใส่ลงไปในงานเต็มที่ ประกอบกันเป็นทีม หรือใช้ในการนำทีมเพื่อสร้าง Output ที่มากกว่าแค่ตัวเลข
  • Energy : ‘พลังบวก’ ที่พนักงานหนึ่งคนจะใส่ลงไปในงาน ทุ่มเทให้กับองค์กร ลูกค้า และผู้มีส่วนได้เสียทุกคนได้รู้สึกถึง passion และ motivation ใน Output ที่ออกมา

บริษัทที่บริหารจัดการสามเรื่องนี้ได้ดี ส่งผลให้เพิ่ม Productivity สูงขึ้น 5-8% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา อาทิ กรณีศึกษาของบริษัท Adobe ที่ชิงประกาศว่าจะไม่ lay-off พนักงาน เป็นรายแรกๆของโลก เพื่อสร้างพลังบวกให้กับพนักงานในการโฟกัสกับการทำงานที่บริษัทต่อไป และปล่อยคลิปวิดีโอ “Take Five” อัพเดทสถานการณ์ทางธุรกิจของบริษัททุกสัปดาห์ และมีการแชร์เทคนิคการจัดการชีวิตส่วนตัวและงานระหว่างกัน เมื่อพบว่าพนักงาน burnout จากการทำงานที่บ้าน Adobe ตัดสินใจให้วันลาหยุดพิเศษกับพนักงานในทุกวันศุกร์ที่สามของเดือนให้ไป unplug และ recharge ชีวิต นโยบายเหล่านี้ทำให้เกิดพลังบวกและคะแนนความผูกพันของพนักงานที่มีต่อองค์กรที่สูงขึ้นในช่วงสถานการณ์ที่ยากลำบาก

.

แล้วอะไรบ้างที่จะ “เพิ่ม Productivity” ขึ้นโดยอิงจาก 3 ปัจจัยข้างต้น ? จากงานวิจัยที่ Microsoft จับมือกับ BCG สำรวจหัวหน้างานและพนักงานกว่า 9,000 คนในยุโรป พบว่า มีองค์กรแค่ 15% ที่มีนโยบาย Flexible Workplace ตั้งแต่ก่อนสถานการณ์โควิด แต่ล่าสุดเพิ่มขึ้นเป็น 88% และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ผู้นำในองค์กรสามารถ “เพิ่ม Productivity” ให้เกิดขึ้นได้ด้วย 5 เทคนิคนี้

1) สร้างสภาพแวดล้อมที่ไร้สิ่งรบกวน (Distraction-Free Environment)

ในการจะให้พนักงานทุ่มเทใช้เวลาทำงาน ใส่ความสามารถลงไปในงาน และมีพลังบวกในการทำงานได้ พนักงานจำเป็นต้องมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำงาน จากการสำรวจพนักงานโดยส่วนใหญ่ที่ไม่มีลูกหรือสัตว์เลี้ยงที่ต้องดูแล พบว่า Productivity เพิ่มขึ้นจากการทำงานที่บ้านด้วยซ้ำ เพราะไม่ต้องถูกรบกวนมากเท่าที่เวลาไปทำงานที่ออฟฟิศใน open environment ไม่ต้องเสียเวลาแต่งตัว และเดินทาง รวมถึงการพูดคุยที่ไม่จำเป็น ดังนั้นบริษัทอาจต้องมีนโยบายช่วยเหลือพนักงานในเรื่องดังกล่าว ที่จะช่วยจัดการกับสิ่งรบกวนต่างๆในการทำงานและให้พนักงานมีสมาธิและทุ่มเทให้กับการทำงานได้เต็มที่มากขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้หลายองค์กรอาจรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของพนักงาน แต่การทำงานที่บ้านทำให้เรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวปะปนกันและส่งผลกระทบซึ่งกันและกันมากขึ้นเรื่อยๆถ้าไม่รีบแก้ไข

2) พัฒนาทักษะการทำงานแบบ Remote (Work Well Remotely)

เพราะไอเดียใหม่ๆและ innovation ในองค์กร ซึ่งเป็น Output ที่องค์กรอยากได้มากที่สุดตอนนี้ในการกอบกู้วิกฤต มักเกิดจากการ brainstorm และ cross-collaboration ร่วมกันในกลุ่มคนที่มีแบคกราวหลากหลาย ดังนั้น โจทย์คือ องค์กรต้องสร้างเครื่องมือที่จะทำให้พนักงานสามารถมี remote collaboration กันในโลกออนไลน์ได้ รวมถึงต้องฝึกให้พนักงานทำงานอย่างมีประสิทธิผลในรูปแบบใหม่ ทั้งการจัดหาเครื่องมือ สอนวิธีใช้เครื่องมือให้เต็มศักยภาพ ปรับ mindset และเพิ่มทักษะที่จำเป็นใหม่ๆเข้าไป หลายครั้งองค์กรมักมองข้ามขั้นตอนนี้โดย assume เองว่า ทุกคนจะมีทักษะและปรับเปลี่ยนตัวเองได้โดยธรรมชาติ ซึ่งจากการวิจัยครั้งนี้ก็พบแล้วว่า การฝึกอบรมพนักงานเป็นหนึ่งในปัจจัยที่จะเพิ่ม productivity ในการทำงานแบบ remote ได้จริง

3) สร้าง Sense of Belonging ให้ทีมที่ทำงานระยะไกล

45% ของคนที่เพิ่งเริ่มทำงานที่บ้านมีปัญหาเรื่องความรู้สึกไม่เป็นส่วนหนึ่งของทีม แต่คนที่ทำงานที่บ้านมาระยะหนึ่งแล้ว ความรู้สึกนี้จะค่อยๆลดลงไป ทำให้พบปัญหานี้ในคนที่ทำงานที่บ้านมาก่อนหน้านี้แล้วเพียง 25% เท่านั้น แถมคนอีก 47% ยังระบุอีกด้วยว่า พวกเขารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของทีมมากยิ่งกว่าเวลาที่เข้าทำงานที่ออฟฟิศอีก และได้ให้ข้อแนะนำให้บริษัทปรับนโยบายการทำงานและจัดหาเครื่องมือที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ห่างไกลระหว่างพนักงานมาใช้มากขึ้น โดยเฉพาะสำหรับพนักงานใหม่ที่ยังขาดเครื่องมือต่างๆ และไม่รู้จะติดต่อใคร จึงจำเป็นต้องทำข้อมูลในการทำงานและติดต่อประสานงานให้ชัดเจนและเป็นระบบโดยใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยในการทำงาน

4) บริหารงานแบบ Tight-Loose-Tight Approach

ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปทำงานในส่วนของตัวเองโดยไม่ต้องคอยจับตาดู ดังนั้นการตกลงเกี่ยวกับความคาดหวัง ผลลัพธ์ และ productivity เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง หลังจากนั้นจึงจะถึงเวลา empower พนักงานให้ทำงานที่บ้านเองได้และได้ผลลัพธ์ที่ทุกฝ่ายพอใจ สุดท้ายกลับมารายงานผลที่เกิดขึ้นอย่างจริงจังในท้ายที่สุด วิธีนี้ นอกจากพนักงานจะไม่โดนรบกวนจากการประชุมหรือการพูดคุยสั่งงานบ่อยๆแล้วยังได้อิสระในการคิดและใส่ความสามารถเต็มที่ในช่วงกลาง และได้พลังในการเป็นเจ้าของงานเต็มที่ ก่อนจะโชว์ผลงานอันน่าภูมิใจในตอนท้าย

5) ออกแบบ Ways of Work โดย Job-Centric

กำหนดวิธีทำงานตามเนื้องาน ไม่ใช่ทุกงานที่เหมาะทำงานที่บ้านตลอดเวลา Slack ได้สำรวจความเหมาะสมของงาน ในการทำงานที่บ้าน โดยแบ่งตามตำแหน่งงาน จะเห็นได้ว่าบางงานสามารถทำที่บ้านได้ง่ายดายกว่าอีกงานหนึ่ง ดังนั้นองค์กรควรดีไซน์รูปแบบการทำงานที่ปรับเปลี่ยนได้ตามหน้างาน มากกว่าการประกาศใช้นโยบายที่เหมือนกัน (One size fits all) ทั้งองค์กร โดย empower ทีมและพนักงานให้สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานได้เองมากขึ้น นอกจากจะทำให้พนักงานโฟกัสกับงานได้เต็มศักยภาพ แล้วยังช่วยเติมพลังในการทำงานที่สามารถจัดการตัวเองได้เองมากขึ้นอีกด้วย

.

.

การเพิ่ม Productivity ในช่วง Work from Home เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและเป็นหน้าที่ของพนักงานทุกคนที่จะต้อง redesign productive ways of working ในแบบของตัวเอง โดยมีองค์กรเป็น ecosystem ที่มีผู้บริหารคอยให้แนวทาง ฝ่ายต่างๆจัดหาเครื่องมือ (digital infrastructure) ในการทำงาน มีวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดรับสิ่งใหม่ๆ และการสนับสนุนในด้านต่างๆของชีวิตการทำงานแก่พนักงานจากฝ่ายบุคคล นี่คือสิ่งสำคัญที่ต้องสร้างความเข้าใจตรงกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก : Khon At Work

Author

  • รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน

Related   Articles

อยากมีความสุข
อยากมีความสุข ต้องหยุดวิ่งตามความสุข! เปลี่ยนชีวิตด้วยแนวคิด Antifragility
หลายคนเข้าใจว่าความสุขคือการใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย ปราศจากความเจ็บปวดหรือความเครียด แต่ในความเป็นจริง งานวิจัยพบว่า การวิ่งไล่ตามความสุขมากเกินไป อาจทำให้เราห่างไกลจากมันยิ่งขึ้นแนวคิด...
วิธีเพิ่ม Employee Engagement
15 วิธีเพิ่ม Employee Engagement สำหรับ HR โดยไม่เสียเงินสักบาท
ทีม HR ไม่ใช่ทีมที่มีเงินเยอะเท่าไหร่ แต่อยากหา “วิธีเพิ่ม Employee Engagement” ให้ได้ผลCareerVisa มี 15 ไอเดียมาแนะนำ ในแบบทีไม่ต้องใช้เงินเพิ่มสักบาท.♥️ส่งเสริมสมดุลชีวิตและการทำงาน...
10 ทักษะ
10 ทักษะสุดล้ำ พัฒนาไว้เพื่อก้าวสู่อนาคตการทำงานในปี 2025
เทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงของโลกการทำงานในปี 2025 โลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีใหม่ ๆ ถูกพัฒนาและนำมาใช้ในทุกสายงาน ทำให้ทักษะที่เคยสำคัญอาจล้าสมัยไปอย่างรวดเร็ว...