P-E-O-P-L-E Framework แค่พลิกวิธีคิด & คุย การงานก็โตระเบิดแล้ว

ปัญหาเรื่องคนเป็นอะไรที่ปวดหัว ปวดใจ และอาจรุนแรงกว่าปัญหาเรื่องงานด้วยซ้ำ โดยหนึ่งในปัญหาคลาสสิคคือการ “สื่อสาร” ที่ไร้ประสิทธิภาพ
  • หัวหน้าไม่มีศาสตร์และศิลป์ในการตำหนิผลงานลูกน้อง ทำให้ลูกน้องไม่มีกำลังใจ เกิดการผิดใจกัน ไม่ Trust กัน ปวดหัวกับการทำงานยิ่งขึ้นไปอีก

 

  • ในมุมกลับกัน ลูกน้องไม่กล้าวิจารณ์หัวหน้า เมื่อหัวเรือเสีย ทุกอย่างบนเรือก็พังตาม 

 

  • หรือความคลาดเคลื่อนในการสื่อสาร ทำให้การส่งงานดีเลย์ ลูกค้าต่อว่า จนไปถึงไม่ต่อสัญญา

 

ทุกวันนี้หัวหน้างานคนไหนที่เก่งด้านการสื่อสารจึงมีแนวโน้มจะเติบโตในหน้าที่การงานได้มากกว่า แก้ปัญหาให้ทีมได้ดีกว่า ทำให้ทุกคนทำงานอย่างมีความสุขได้มากกว่า

 

แต่การสื่อสารให้เก่งเป็นสิ่งที่พูดง่ายแต่อาจทำค่อนข้างยาก อย่างไรก็ตาม มีอยู่เฟรมเวิร์คหนึ่งที่ช่วยจัดระเบียบความคิดให้หัวหน้าสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพกับพนักงานทุกระดับในองค์กรได้ 

 

เฟรมเวิร์คนั้นเรียกว่า P-E-O-P-L-E Framework

 

P-E-O-P-L-E Framework มีอะไรบ้าง?

 

P-E-O-P-L-E Framework ประกอบด้วย 6 คีย์เวิร์ดเป็นแก่นคิดให้เราใช้ในการสื่อสารได้อย่างทรงพลัง ประกอบด้วย

 

P – People Oriented

 

อันดับแรกเลย เราต้องเข้าใจก่อนว่า เราไม่ได้กำลังคุยกับหุ่นยนต์ แต่กำลังดีลกับมนุษย์คนเป็นๆ ที่มีหัวใจ มีอารมณ์ มีความเซนซิทีฟ หรืออาจมีปัญหาส่วนตัวของเค้า ณ ตอนนั้นรายล้อมชีวิตอยู่

 

เวลาคุยงานอะไรกัน เราไม่ได้เอาแค่ผลลัพธ์เป็นที่ตั้งปลายทางเสมอไป แต่บางทีเราต้องชนะใจอีกฝ่ายเสียก่อน ต้องเกิดการ “ซื้อใจ” กันก่อนบ้าง เค้าถึงค่อยซื้อสินค้าบริการเรา

 

เนื้อหาข้อความที่คุณส่งไป จึงไม่ใข่แค่ตัวอักษรบนหน้าจอ หรือคำพูดคำจา แต่มันต้องรวมถึงประสาทสัมผัสทั้ง 5 ทุกอย่างที่อีกฝ่ายสัมผัสได้ 

 

  • เช่น คุณอาจจำเป็นต้องตามงานลูกน้องในในขณะที่เค้างานล้นจนเกือบจะ Burnout แต่ถ้าคุณพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน แววตาที่คอยเป็นห่วงอย่างเข้าใจ ย่อมให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าจี้ตามงานแบบปกติแน่นอน

 

นอกากนี้ P ตัวแรกนี้ยังเตือนสติคนส่งสารเองว่า “อย่าลืมความเป็นคน” ในตัวคุณเอง เราอยากให้คนอื่นปฏิบัติดีๆ กับเรา เราก็ต้องทำดีกับอีกฝ่ายด้วย

 

E – Empathy

 

บางองค์กรยก Empathy ขึ้นมาก่อนใครเพื่อน เพราะ P ตัวแรกเมื่อกี้จะได้ผล ต้องมี E ตัวนี้นำมาก่อน มองว่าการจะเข้าใจปัญหาได้ ต้องเข้าใจบริบทคนๆ นั้นซะก่อน วลีคลาสสิคอย่าง “เอาใจเขามาใส่ใจ” เรายังคงใช้ได้เสมอ

 

Empathy เป็นการพยายามเอาตัวคุณเองไปอยู่ในสถานการณ์ของอีกฝ่าย และต้องสังเกตสิ่งที่อีกฝ่ายไม่ได้พูดออกมาด้วย เริ่มได้ง่ายๆ ด้วยการทำ Deep listening เปิดอกเปิดใจรับฟังอีกฝ่ายโดยไม่รีบด่วนตัดสิน

 

  • เช่น คุณเห็นลูกน้องในทีมคนหนึ่งที่ปกติทำงานดีมาตลอด แต่จู่ๆ กลับเริ่มมาสาย ส่งงานผิด และเหม่อลอยในเวลางานบ่อยครั้ง หัวหน้าที่มี Empathy จะไม่รีบกระโดดไปด่าว่า แต่จะหาเวลาคุยแบบส่วนตัว บางทีสาเหตุมาจากชีวิตส่วนตัวอย่าง “แมวที่บ้านพึ่งตาย” จะเห็นว่าเรื่องนี้กระทบจิตใจคนเราไม่น้อย หัวหน้าที่มี Empathy จะให้เวลาทำใจ และอาจยื่นมือลงไปช่วยทำงานเลยด้วยซ้ำ  

 

O – Open Mind

 

เป็นการเปิดใจรับฟัง ไม่ใช่แค่ให้อีกฝ่ายมีโอกาสได้พูดกับเรา แต่หมายถึงตัวเราเองต้องรับฟังอย่างไร้อคติ ไม่มีอีโก้ ไม่ด่วนตัดสิน วางสิ่งที่ตัวเองรู้ลงไปก่อน และเปิดใจฟังมุมมองอีกฝ่าย

 

ถ้าเกิดเรามีการปักธงในใจ รอให้อีกฝ่ายพูดจบแล้วตัวเองค่อยพูดในสิ่งที่อยากพูด…นี่ไม่ใช่ Open Mind

 

อย่างไรก็ตาม หัวหน้างานที่ผ่านประสบการณ์มาเยอะ อาจเจออุปสรรคในการทำ Open Mind ไม่น้อยเพราะประสบการณ์ค้ำคออยู่ เทคนิคคือลองคิดให้ตัวเองย้อนวัยกลับไปสมัยเป็นเด็กจบใหม่ และรับฟังพี่ๆ ผู้ใหญ่ทั้งหลายด้วยหัวสมองที่เปิดโล่งสดใหม่ นอกจากจะเปิดใจมากขึ้นแล้ว ยังอาจได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่มองข้ามมาตลอด

 

P – Positive

 

อันที่จริง การสื่อสารที่นำไปสู่พฤติกรรมที่คาดหวังเกิดขึ้นได้ทั้งแบบเชิงลบและเชิงบวก เพียงแต่ในระยะยาว เชิงลบอาจนำไปสู่ภาวะ Toxic และความเครียดในที่ทำงาน ขณะที่เชิงบวก มักมีความสร้างสรรค์ กระตุ้นแรงบันดาลใจให้กับทีมมากกว่า (ต้องไม่ลืมว่าแต่ละคนมีความอ่อนไหวต่อคำพูดคำจาต่างกัน) 

 

ตัวอย่างเวลาหัวหน้าฟีดแบคผลงานลูกน้องที่มีข้อตำหนิ เช่น

 

  • เชิงลบ – “นี่น้องทำงานแบบนี้ออกมาได้ยังไง ใช้อะไรคิดกันเนี่ย”
  • เชิงบวก – “พี่รู้ว่าเราทำได้ดีกว่านี้แน่นอน ลองเอากลับไปแก้มาใหม่นะ”

 

เราจะเห็นว่าการพูดเชิงบวก กระตุ้นแรงบันดาลใจ จุดประกายความฮึกเหิม แถมยังรักษาน้ำใจกันและกันไว้ได้อยู่

 

L – Listen Actively 

 

ฟังแบบเชิงลึก ฟังแบบจด ฟังแบบตั้งคำถามต่อยอด คนพูดจะสัมผัสได้ว่าคนฟังอยู่กับเรา ณ ปัจจุบันตลอด ไม่มีเล่นมือถือ ไม่เปลี่ยนประเด็นไปมา

 

Active listening จะไม่ได้ฟังคำที่อีกฝ่ายพูดออกมาอย่างเดียว แต่ฟังและสังเกตภาษากายด้วย เช่น แววตาที่มีวิสัยสทัศน์ การชี้ไม้ชี้มือที่มั่นใจ 

 

สิ่งสำคัญและมาควบคู่กันคือ การฟังแบบ Active listening จำเป็นต้องใช้ สติ & สมาธิ สูงมากๆ การเตรียมร่างกายล่วงหน้าก่อนรับฟังจึงสำคัญไม่น้อย

 

หัวหน้างานที่สามารถรับฟังแบบนี้ได้ดี สามารถพัฒนาไปสู่การศาสตร์การ Coaching ลูกน้องได้เลยทีเดียว

 

E – Engage

 

สร้างการมีส่วนร่วมกับสมาชิกทีม นำไปสู่ความผูกพันและ Trust ไว้เนื้อเช่อใจกัน  

 

Engage เกิดขึ้นได้ง่ายที่สุดด้วยการลงมือทำทันที เช่น 

 

  • ลูกน้องฟีดแบคว่าขั้นตอนการทำงานมี Hierarchy มากเกินไป ใช้เวลาเยอะ ไม่ทันกิน คุณจึงนัดประชุมเหล่าผู้บริหารทั้งหมดให้เร็วที่สุดทันที 

 

  • เด็กจบใหม่เสนอไอเดียให้ลองใช้ AI อย่าง Midjourney ในการทำรูปภาพ Mockup เสนอลูกค้า หัวหน้าแบบคุณจึงเรียกประชุมทีม และให้เด็กจบใหม่คนนั้นได้สาธิตวิธีใช้แก่ทุกคนในทีม

 

ทำไมต้องทำ P-E-O-P-L-E Framework?

 

เราจะเห็นว่า P-E-O-P-L-E Framework ไม่ใช่สูตรลับเฉพาะ ไม่ใช่เคล็ดลับที่มีความแฟนซี แต่มันให้ความสำคัญย้อนกลับไปที่พื้นฐานสำคัญของการสื่อสารระหว่างคนด้วยกัน




มีความเรียบง่าย จำง่าย มีชื่อที่ทุกฝ่ายเข้าใจได้ในตัวมันเองเวลานำไปใช้ในทีทมสเกลใหญ่ และที่สำคัญ เป็นการสื่อสารอันทรงพลังที่ให้ผลลัพธ์แบบ Win-Win หลีกเลี่ยงข้อบาดหมางโดยไม่จำเป็น ประสานรอยร้าว พร้อมทำให้ทีมโตไปข้างหน้าอย่างสตรอง!

 

อ้างอิง

Author

  • รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน

Related   Articles

Laura Vanderkam
ไม่มีคำว่า “ไม่มีเวลา” อีกต่อไปถ้าคุณมี Mindset แบบนี้ โดย Laura Vanderkam นักเขียนชื่อดังด้านการจัดการเวลา
สรุปวิธีคิดที่จะทำให้คุณ “มีเวลา” สำหรับสิ่งสำคัญในชีวิต โดยลอรา แวนเดอร์แคม (Laura Vanderkam) นักเขียนชื่อดังด้านการจัดการเวลา ผู้บรรยาย TED Talk ที่มียอดวิวหลายล้าน...
Vacation Blues
10 เคล็ดลับ "Bounce Back" สลัดอาการ "Vacation Blues" ให้หายเป็นปลิดทิ้ง!
อาการ “Vacation Blues” หรือความเศร้าหลังไปเที่ยวหยุดยาว เป็นอาการปกติที่เล่นงานคนทำงานอย่างหนักอึ้ง ซึ่งเกิดขึ้นกับคนทำงานหลายคนโดยเฉพาะช่วงหยุดยาว อย่างไรก็ตามการจมกับความเศร้าหลังเที่ยวไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก...
Harvard Business Review
ผลสำรวจพบเทรนด์ใหม่คนทำงาน เลือกใช้ AI ดูแลจิตใจแซงการทำงาน โดย Harvard Business Review
งานวิจัยจาก Harvard Business Review เพิ่งออกมา มีผลสำรวจพบว่าคนทำงานเปลี่ยนการใช้ AI จากเครื่องมือทำงาน มาเป็น “เพื่อนคู่ใจ” แทน สิ่งที่เปลี่ยนไปในปี...