Halo Effect ผู้บริหารตกม้าตายก็เพราะเรื่องนี้

Halo Effect
คุณเห็นจุดเด่นแค่ 1 อย่าง และตีโพยตีพายไปว่า ดีเกินจริง-แย่เกินจริง คุณอาจกำลังตกหลุมพรางบางอย่างอยู่ก็ได้

Halo effect คืออะไร ?

Halo effect (อคติออร่าหรือผลกระทบจากภาพลักษณ์) คือความเอนเอียงทางจิตวิทยาที่เกิดขึ้นเมื่อเราประทับใจกับคุณลักษณะหนึ่งของบุคคลหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แล้วเชื่อมโยงความประทับใจนั้นไปยังคุณลักษณะอื่น ๆ โดยอัตโนมัติ ตัวอย่างเช่น หากเรามองว่าคนหนึ่งดูดีและมีเสน่ห์ เราอาจคิดว่าเขาหรือเธอฉลาดหรือมีความสามารถมากกว่าคนอื่น ทั้งที่จริง ๆ อาจไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลย

  • CEO ที่ “ประสบความสำเร็จ” อย่างยิ่งใหญ่ในธุรกิจ A จะประสบความสำเร็จในธุรกิจ B ด้วย
  • ผลิตภัณฑ์ A ดูมีคุณภาพน่าเชื่อถือ เพราะมาจาก “ญี่ปุ่น”
  • น้อง AE คนนี้น่าจะคุยงานกับลูกค้าได้ดี เพราะเป็นผู้หญิงและ “หน้าตาดี”

ประโยคที่กล่าวมาคือส่วนหนึ่งของกับดักจิตวิทยาของทฤษฎีนี้

ทฤษฎีอคติออร่าหรือผลกระทบจากภาพลักษณ์ ถูกนิยามขึ้นเมื่อปี 1920 โดยนักจิตวิทยาชาวอเมริกัน คุณ Edward Lee Thorndike มันคือการที่เราหยิบยก “ลักษณะเด่น” แค่ 1 อย่าง และตีตราไปเองว่า “ดีเกินจริง-แย่เกินจริง” จนอาจทำให้การวิเคราะห์ภาพรวมคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง


ทำไมผู้บริหารมักตกหลุมพราง Halo Effect ?

เพราะอคตินี้ทำงานในระดับ “จิตใต้สำนึก” (Subconscious Level) เราไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้คิด-รู้สึกได้ (แต่ห้ามไม่ให้เชื่อ-ลงมือทำได้)

นอกจากนี้ ในแต่ละวันผู้บริหารยุ่งมากๆ สมองต้องรับข้อมูลมหาศาลมากกว่าคนปกติ ต้องเจอกับความกดดันต่างๆ การหาลักษณะเด่นเพียงอย่างเดียวและด่วนสรุปไปเลย จึงเป็นทางลัดที่สมองใช้ประมวลผลเพื่อความง่ายและรวดเร็วในการตัดสินใจ (โดยไม่รู้ตัว) และเพราะลักษณะเด่นนั้นๆ มันช่างเย้ายวนใจ หลายครั้งเป็น “ความประทับใจส่วนตัว” ที่ฝังรากลึกในใจไปแล้ว (อยู่เหนือเหตุผล) เกิดความลำเอียงจนนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด

ในทางกลับกัน เราก็สามารถใช้ประโยชน์จากอคตินี้ได้ในฐานะแบรนด์ ผลวิจัยมากมายระบุว่า แค่เห็นคน “หน้าตาดี” เราก็มีแนวโน้มตัดสินเค้าโดยอัตโนมัติว่า นิสัยดี-ฐานะดี-ฉลาด-น่าคบหา ซึ่งก็สะท้อนออกมาในวงการสื่อและโฆษณา บ่อยครั้งที่เราเห็น นักเทนนิสมาเป็นพรีเซนเตอร์เครื่องชงกาแฟ หรือ นักแสดงรูปร่างดีเป็นพรีเซนเตอร์เครื่องดื่มน้ำอัดลม โดยไม่ได้ตระหนักถึงความเชี่ยวชาญหรือสมเหตุสมผล


เราจะป้องกัน Halo Effect ได้อย่างไร?

ฝึกตัวเองไม่ให้รีบด่วนสรุป อย่ามองอะไรแค่ผิวเผิน-เห็นง่าย-จับต้องง่าย แม้เราจะห้ามความคิดที่ ‘แว่บ’ เข้ามาในหัวเราไม่ได้ แต่เราห้ามไม่ให้มันมีอิทธิพลขั้นต่อไปกับเราได้

ที่ปรึกษาจากบริษัท McKinsey ยังแนะนำถึงเรื่องนี้ว่าให้  “แยก Input-Outcome ออกจากกัน” การที่ Outcome แย่ ไม่ใช่ความผิดพลาดทั้งหมดเสมอไป กลยุทธ์ภาพรวมอาจมาถูกทางแล้ว ต้องกลับไปตรวจสอบรายละเอียด Input ข้อมูลที่ได้มาถูกต้องหรือไม่? ข้ามขั้นตอนสำคัญไหนไปหรือไม่? จังหวะเวลาไม่เหมาะสมหรือไม่? 

อีกเทคนิคหนึ่งคือ ให้ทำสิ่งที่เรียกว่า “Devil’s advocate” 

หานักวิเคราะห์มาคนหนึ่ง (หรือใครก็ได้ที่เป็น ‘คนนอก’)  แม้จะเห็นด้วยกับไอเดียของเรา…แต่เขาต้องสวมบทบาทเป็นฝ่ายตรงข้าม และพยายามทุกวิถีทางเพื่อหาเหตุผลมา “โต้แย้ง” ไอเดียของเราในทุกมิติ เทคนิคนี้จะยิ่งเวิร์คถ้าเพิ่มแรงจูงใจ Incentive ลงไป เช่น ถ้าหาหลักฐานหรือเหตุผลสนับสนุนมา ‘หักล้าง’ ได้ในที่สุด…ก็รับรางวัลไปเลย

Devil’s advocate จะช่วยให้เราตกผลึกทางความคิดไอเดียนั้นมากขึ้น มองเห็นจุดอ่อนที่เคยมองข้าม ลดอดคติ ไม่หวือหวากับความประทับใจส่วนตัว..

ทำ “แบบประเมินอาชีพฟรี” จาก CareerVisa ได้ที่ >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/


อ้างอิง

Author

  • รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน

Related   Articles

AI is Making You Dumber
ใช้ AI ยังไง ไม่ให้โง่ลงกว่าเดิม ถามตัวเองว่าคุณกำลังให้ AI ‘ช่วยคิด’ หรือให้ AI ‘คิดแทน’ อยู่กันแน่
แอดมินได้มีโอกาสดูคลิปของช่อง Cold Fusion ที่พูดถึงเรื่องเทคโนโลยีไว้อย่างน่าสนใจ ในชื่อ ‘AI is Making You Dumber. Here’s Why’ คลิปนี้พูดถึงเทรนด์เกี่ยวกับการใช้...
5 คอร์สเรียนฝึกความคิด
5 คอร์สเรียนฝึกความคิด วิเคราะห์จากมหาวิทยาลัยและบริษัทระดับโลกเรียนจบพร้อมรับใบเซอร์
แนะนำคอร์สระดับเริ่มต้นสำหรับการพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์ ให้มี Critical Thinking 1. Introduction to Logic and Critical Thinking – มหาวิทยาลัย...
Burnout and stress
ทำความรู้จักกับสภาวะหมดไฟ (Burnout) และสภาวะเครียด (Stress) ต่างกันอย่างไร รับมือได้อย่างไรบ้าง
ปกติแล้วสภาวะหมดไฟ หรือ burnout จะเกิดจากการที่เราเครียดมาก เครียดสะสมโดยไม่รู้ตัว ซึ่งจะต่างจากความเครียด (Stress) ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ชั่วครั้งคราวตามสถานการณ์ที่พบเจอ...