Dress for Success: แต่งตัวยังไงให้การงานโตระเบิด

Dress for Success
การแต่งกายให้ดูดีในโลกธุรกิจสร้าง First Impression ที่ประทับใจให้แก่อีกฝ่าย และ First Impression คือประตูบานแรกสู่โอกาสถัดไป

โดยเฉพาะในหลายธุรกิจ การแต่งตัวให้ดีใส่สูทเนี้ยบถือเป็นเรื่องปกติ ถ้าเราทำไม่ได้มาตรฐาน อีกฝ่ายอาจมองว่า “มารยาทธุรกิจพื้นฐานแค่นี้ยังไม่รู้…แล้วเรื่องอื่นจะไหวเหรอ?” เมื่อ First Impression แรกล้มเหลว นำไปสู่การปิดกั้นไม่ให้การยอมรับ โอกาสที่ประตูบานถัดไปจะเปิดออกก็น้อยลง

แต่ก่อนที่จะเข้าประเด็น คำถามที่หลายคนอาจสงสัยคือ…แล้วเสื้อผ้ากับงานมาเกี่ยวกันได้ยังไง?

การแต่งตัวมาเกี่ยวยังไงกับงาน ? 

การแต่งตัวให้ดูดีเป็นการให้เกียรติตัวเอง เห็นคุณค่าในตัวเอง เสริมให้เราเป็นคนดูเอาใจใส่น่าเชื่อถือ ‘ใครเห็นใครก็รัก’ นี่คือด่านแรกสู่โอกาสที่ใหญ่กว่าถัดไป

ที่สำคัญ เมื่อแต่งตัวดี (เช่น ใส่สูทสุดเนี้ยบ) เราจะมีความมั่นใจโดยไม่รู้ตัว สุดท้ายความมั่นใจก็ย้อนมาช่วยให้เรามีความกล้าตัดสินใจและลงมือทำอะไรบางอย่าง งานวันนั้นของเราอาจ Productive มากขึ้น หรือสามารถ Present งานอย่างชัดถ้อยชัดคำจนมัดใจลูกค้าได้สำเร็จ

Tara Louise สไตลิสต์จากกรุงวอชิงตันเผยว่า คนที่เราพบปะ (โดยเฉพาะครั้งแรกๆ) มีแนวโน้มจะเปิดใจรับฟังความคิดเห็นเมื่ออีกฝ่ายแต่งตัวดี ดีในที่นี้คือ ภายใต้ข้อจำกัดของร่างกาย (เช่น อาจไม่ใช่คนหน้าตาดีหรือรูปร่างดี) เค้าพยายามแสดงออกว่าใส่ใจในการแต่งกายเพื่อสร้างความประทับใจ (Dress to impress) คู่สนทนา

นอกจากนี้ มีข้อสันนิษฐานว่าการแต่งตัวดียังมีผลต่อการถูกโปรโมทจาก CEO คือถ้าให้เลือก 2 คนที่ความสามารถทุกอย่างพอๆ กัน CEO จะเลือกคนที่แต่งตัวดี เพราะมันสื่อเป็นนัยว่าเค้าใส่ใจตัวเองและกาลเทศะคนรอบข้างแค่ไหน หรือเป็นตัวแทนภาพลักษณ์องค์กรได้

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ไม่ใช่เรื่องนามธรรม แต่ถึงขนาดมีการทดลองทางด้านจิตวิทยาจนออกมาเป็นทฤษฎีที่ชื่อว่า “Enclothed Cognition” คือ พฤติกรรมคนเรามีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไปตามการแต่งตัวของเรา: แต่งเนี้ยบมีแววประพฤติเนี้ยบ แต่งชิลมีแววประพฤติชิล

Hajo Adam และ Adam Galinksy สองนักจิตวิทยาผู้ให้กำเนิดทฤษฎีนี้เผยว่า พฤติกรรมและความนึกคิดเราเปลี่ยนเมื่อเราสัมผัสทั้งการ “สวมใส่ และ มองเห็น” 

มองเห็น เช่น ณ ตึกออฟฟิศ คุณเห็นชายวัยกลางคนใส่สูทสุดเนี้ยบราคาแพง ทรงเข้ารูปเป๊ะ ตัดเย็บดีเยี่ยม สีแมทช์กันอย่างลงตัว เสริมบุคลิกให้เขาเดินอย่างสง่าผ่าเผย เมื่อเห็นแว่บแรกอาจคิดไปเองว่าเขาน่าจะเป็นผู้บริหารหรือซีอีโอบริษัทใดบริษัทหนึ่งในตึกออฟฟิศนี้ (ทั้งที่ความจริงอาจแค่มาสมัครงานก็ได้)

สวมใส่ เช่น คุณใส่สูทสุดเนี้ยบในแบบเดียวกับผู้ชายคนนั้น ก็มีแนวโน้มที่คุณจะพูดจาสุภาพขึ้น ใช้เหตุผลมากขึ้น ใส่ใจบุคลิกการเดินขึ้น จนไปถึงร้านอาหารที่คุณเลือกทานตอนพักเที่ยงก็อาจหรูหรามีระดับขึ้น

Enclothed Cognition ยังถูกสนับสนุนแม้ตอนที่เรา Work From Home ทำงานที่บ้าน ซึ่งช่วยเพิ่มระดับความมั่นใจ ความสุภาพ อารมณ์ ทัศนคติ การให้เกียรติ ความเป็นมืออาชีพ…โดยเฉพาะเวลาคุยกับลูกค้า (แม้จะปิดกล้องก็ตาม)

การที่เราไม่แคร์การแต่งตัว สนใจแค่มันสมองของเรา ไม่ใช่ปัจจัยที่จะชนะใจลูกค้าได้เสมอไป คนเราไม่ได้ตัดสินจากเหตุผลอย่างเดียว แต่ตัดสินโดยใช้ อารมณ์ด้วย และอารมณ์เกิดขึ้นตั้งแต่แว่บแรกที่เรา เห็น’ หน้าซึ่งกันและกัน (ผ่านหน้าตาและการแต่งตัว)

เทคนิคแต่งตัวสำหรับสุภาพบุรุษให้ราศีออก-การงานโตระเบิด 

คุณ Sven Raphael Schneider เจ้าของช่อง Gentleman’s Gazette รายการที่นำเสนอการแต่งตัวแบบคลาสสิกแก่สุภาพบุรุษเผยว่า การแต่งกายก็เหมือนการตลาด เราผลิตสินค้าเพื่อ ‘ใคร’…คุณแต่งตัวให้ ‘ใคร’ ดู กลุ่มเป้าหมายของคุณคือใคร?

และไม่ว่าจะแต่งแนวไหน คุณกำลัง “สื่อสาร” อะไรบางอย่างออกไปอยู่เสมอ

  • ทางการ = อำนาจ ลำดับชั้น
  • โลโก้แบรนด์ = ฐานะ รสนิยม
  • สบายๆ = ใจกว้าง ไม่ทางการ
  • สีสว่าง = สดใส อนาคต ความหวัง

ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องการแสดงอำนาจ ก็อาจต้องแต่งทางการ

ถ้าต้องการพรีเซนต์โปรเจ็คท์ใหม่แหวกแนว ก็อาจต้องแต่งโทนสว่าง

แต่ถ้าต้องการมาตรฐานไว้ยึดเป็นแก่นหลัก การแต่งกายในโลกธุรกิจสำหรับผู้ชายที่เป็นที่ยอมรับในสากลและเหมาะสมกับทุกโอกาสที่สุดคงไม่พ้นการใส่ “สูท”

“สูทเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ไม่มีการตกรุ่น เพราะเราใส่สูทมาเป็นร้อยปีแล้ว” คุณนน เจ้าของ RAMS ร้านตัดสูทระดับไฮเอนท์ของเมืองไทย กล่าวไว้สำหรับมือใหม่ที่เริ่มมองหาชุดสูทคุณภาพดีอยู่

การใส่สูทดูเหมือนง่าย แต่ถ้าจะแต่งให้ขึ้น-แต่งให้คนเห็นประทับใจ จะแฝงไปด้วยรายละเอียดมากมาย หลักๆ เช่น

  • สูทสำหรับธุรกิจควรใช้ 3 สีเท่านั้น: ดำ / น้ำเงินเข้ม / เทา
  • ถ้าอยากให้สูทมีลวดลาย ใช้ได้เฉพาะลายแนวตั้ง (Stripe) ดูภูมิฐานกว่า
  • เสื้อเชิ้ตไม่มีกฎตายตัว แต่ “สีขาว” ถือเป็นมาตรฐานที่ใส่ได้ครอบทุกจักรวาล
  • เชิ้ตต้องแขนยาวเท่านั้น โดยทริคที่นักธุรกิจญี่ปุ่นใช้กันทั่วไปคือ เมื่อใส่แล้วแขนเสื้อเชิ้ตที่ยื่นเกินออกมาจากเสื้อสูทต้องอยู่ที่ “1.5 เซนติเมตร” จะเข้ารูปกับความยาวแขนและไม่บังนาฬิกาจนเกินไป
  • พ็อกเก็ต สแควร์ “สีขาว” แมทช์ง่ายและใช้ได้หลายสถานการณ์ที่สุด (และต้องไม่มีลาย)
  • Robert Downey Jr. เสริมจุดนี้ว่า กรณีถ้าใส่แว่น(เขาเป็นผู้นำด้านแฟชั่นแว่น) ให้แมทช์เป็นสีเดียวกับพ็อกเก็ต สแควร์
  • ผูกเนคไทให้ปลายเส้นเนคไทอยู่เหนือหัวเข็มขัดส่วนบน ไม่ต่ำ-สูงกว่านี้
  • ถ้าสูทสีเข้ม-ใส่เนคไทสีอ่อน ถ้าสูทสีอ่อน-ใส่เนคไทสีเข้ม
  • สีเข็มขัดและรองเท้าควรเป็นสีเดียวกันเพื่อคุมโทน
  • ติดกระดุมสูททุกครั้งตอนยืน-เดิน…ยกเว้นตอนนั่ง
  • เพื่อป้องกันสูทเสียทรง ใส่ของได้เฉพาะชิ้นเล็กๆ ใหญ่กว่านั้นใส่นั้นกระเป๋าถือ

นี่เป็นหลักการคร่าวๆ (ไม่มีกฎตายตัว) ที่เอาไปใช้ได้ทันทีช่วยให้ทุกคนเห็นภาพรวมของการใส่สูทอย่างมีเสน่ห์ บุคลิกการแต่งกายถูกตัดสินในเวลาไม่กี่วินาที อยากทำอะไรราบรื่น แต่งตัวดีไว้ก่อนไม่เสียหาย!

แต่การจะแต่งให้ดีได้ ต้องอาศัยประสบการณ์และลองผิดลองถูกเช่นกัน สำหรับในชีวิตประจำวันเราก็สามารถ ‘ฝึก’ แต่งตัวดีให้เป็นนิสัยได้ด้วยวิธีง่ายๆ 

คุณ Yae Shimano ที่ปรึกษาด้านแฟชั่นชาวญี่ปุ่น และนักเขียนมังงะแนะนำการแต่งตัวที่ขายดีถึง 800,000 เล่ม! เขาเผยเคล็ดลับว่า การแต่งตัวให้ดูดีไม่ใช่แค่เรื่อง Common Sense แต่มีหลักการที่ทุกคนทำตามได้และไม่จำเป็นต้องใช้ของแพงเสมอไป เขาออกแบบ “กฎเหล็ก 4 ข้อ” ที่ไม่ว่าใครก็แต่งตัวให้ดูดีได้

  1. Skinny Jeans สีดำ (กางเกงทรงกระบอกเล็ก): ซึ่งเป็นทรงที่พอดีกับรูปขาของคนส่วนใหญ่มากที่สุด Skinny Jeans ช่วยหลอกตาให้เราดูสูงเพรียว สำหรับคนที่ไม่สูงเค้าแนะนำให้ใส่ถุงเท้าและรองเท้าสีดำ (ช่วงล่างดำหมด) จะเพิ่มการหลอกตาเข้าไปได้ ข้อควรระวังคือ ต้องให้ความยาวกางเกงพอดี ไม่งั้นจะกองลงดูยับง่าย จากนั้น ช่วงบนจะแต่งแบบทางการ/สบายๆ ก็ดูเข้ากันดีได้ไม่ยากแล้ว
  1. สมดุล Dress 70% Casual 30%: Dress คือแต่งแบบทางการ (เช่น เสื้อแจ็คเก็ต) ขณะที่ Casual คือแต่งลำลองสบายๆ คุณ Shimano บอกว่าถ้าใส่เดินเล่นย่านเก๋ๆ ในเมืองแนะนำให้ใช้สูตรนี้ เราจะดูโดดเด่นกว่าคนทั่วไปที่มักแต่งแบบ Casual >50%
  1. ยึดหลัก YIA: คือโครงร่างรูปทรงในการแต่งตัวที่คนมองมาที่เราจะเห็นคล้ายเป็น 
  • ตัว Y 🡺 ช่วงบนหลวมๆ พองๆ ช่วงล่างฟิตๆ เหมาะสำหรับคนต้องการซ่อนพุง
  • ตัว I 🡺 ช่วงล่างและบนเป็นแบบ Slim Fit ดูสูงลงตัว
  • ตัว A 🡺 ช่วงบนฟิต ช่วงล่างหลวมๆ เหมาะกับคนต้องการซ่อนขาใหญ่

แต่ละครั้งที่แต่ง ให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งที่เหมาะสมกับรูปร่างและเสื้อผ้าของเรา…อย่าเอาแต่ละตัวมารวมกัน

  1. โทนสีเสื้อ: สำหรับผู้ชายเริ่มต้นแนะนำ 3 สี: ขาว / ดำ / เทา ใส่ได้หลากหลายโอกาส ดูภูมิฐานที่สุดแล้ว

ตัวอย่างคนสำเร็จแต่งตัว Dress for Success

คุณรวิศ หาญอุตสาหะ บอสใหญ่อาณาจักรสื่อ Mission To The Moon และ ศรีจันทร์ เป็นอีกคนที่โผล่ออกตามหน้าสื่อในวงการธุรกิจเป็นประจำ 

หลายคนน่าจะคุ้นมาดเขาที่มาพร้อมกับ “สูทน้ำเงิน x ติดพ็อกเก็ตสแควร์ x ไม่ใส่เนคไท x กางเกงยีนส์” ซึ่งเป็นคาแรคเตอร์การแต่งกายที่พบเห็นซ้ำๆ ได้เกือบทุกสื่อทุกประเภทงานไม่ว่าจะอ่านข่าว ร่วมสัมมนา ขึ้นเวทีพูด เปิดตัวหนังสือ

Image Cr. bit.ly/3sBEvaz

“ผมเป็นคนที่เกลียดการใส่เนคไทมาก มันดูแก่ และอึดอัด” คุณรวิศกล่าวไว้ถึงสาเหตุที่แทบไม่เคยเห็นเขาใส่เนคไทเลย

พอไม่มีเนคไทและใส่ยีนส์ กลับทำให้ภาพลักษณ์เขาดู “ทันสมัย” ดูวัยรุ่นขึ้น คล่องแคล่วขึ้น ในฐานะผู้นำองค์กร การแต่งกายลักษณะนี้ ‘สอดคล้อง’ กับแนวทางการทำธุรกิจของเขาเองที่จะมีความเป็นคนรุ่นใหม่ มืออาชีพแต่ยังว่องไว สดใหม่และกระหายการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา

คนธรรมดาที่หลงใหลการแต่งตัวดี ก็ผสานการใส่สูทเข้ากับการ “ทำนา” จนมีชื่อเสียงมาแล้ว!

Kiyoto Saito เป็นมนุษย์เงินเดือนชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งที่เบื่อหน่ายกับชีวิตออฟฟิศ มาวันหนึ่ง เขาตัดสินใจลาออกกลับไปสานต่อธุรกิจเกษตรของตระกูลที่บ้านเกิดของเขาในจังหวัดยามากาตะทางภาคตะวันออกของญี่ปุ่น 

แม้เขาจะเบื่อการทำงานในออฟฟิศ แต่สิ่งหนึ่งที่เขาไม่เคยเบื่อเลย แต่กลับหลงรักด้วยซ้ำคือ…การใส่สูท เขาจึงตัดสินใจ “ทำนาไป-ใส่สูทไป” อย่างจริงจังทุกวัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน

Image Cr. bit.ly/2OesXuK

ผลลัพธ์คือเรื่องราวของเขากลายเป็น Viral ไปทั่วญี่ปุ่น สื่อหลายสำนักบึ่งมาทำข่าวถึงที่ และให้สมญานามเขาว่า ”ชาวนาที่แต่งตัวเท่ที่สุดในโลก”  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลังจากนั้นมันได้สร้างการรับรู้มหาศาลให้กับธุรกิจเกษตรของเขาจนมีลูกค้าเข้ามาไม่ขาดสาย

คนประสบความสำเร็จระดับโลกน้อยคนที่จะไม่ใส่ใจการแต่งตัว แม้เราจะเห็นเค้าแต่งตัวเรียบง่าย แต่เบื้องหลังความเรียบง่ายนั้นถูกตกผลึกผ่านการคิดวิเคราะห์มาอย่างดีแล้ว ทั้งจากนักออกแบบเสื้อผ้า นักการตลาด นักโค้ชด้านบุคลิกภาพ (Image Coach)

เช่น Mark Zuckerberg ตกผลึกออกมาเป็น “เสื้อยืดแขนสั้นสีเทา” ซึ่งมันสื่อความหมายหลายอย่าง ไม่ว่าจะการละทิ้งความอนุรักษ์นิยมเก่าๆ ที่ใส่สูทผูกไท การผงาดของผู้นำรุ่นใหม่และกลุ่มบริษัทเทคโนโลยี ภาพลักษณ์สบายๆ ที่ดูเข้าถึงได้ง่ายขึ้นจากพนักงาน เป็นองค์กรที่ไม่มีระดับขั้นมาก 

และอีกเหตุผลหลักซึ่งเป็นเหตุผลเดียวกับ Steve Jobs คือ เค้าประหยัดเวลาไม่ต้องมานั่งคิดว่าวันนี้จะแต่งตัวยังไงดี (เสื้อยืดนี้ราคาเป็นหมื่นๆ สั่งตัดพิเศษ ใช้เนื้อผ้าดีที่สุด)

การสัมภาษณ์งานเองก็เช่นกัน แต่งตัวดีมีชัยไปกว่าครึ่ง

แต่ก่อนจะสัมภาษณ์งาน ต้องรู้ก่อนว่าอยากทำงานในบริษัทแนวไหน สายอาชีพไหน…เข้าไปทำ “แบบประเมินอาชีพ” จาก CareerVisa เพื่อค้นหาสายอาชีพที่ใจลึกๆ ต้องการได้ที่ >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/


อ้างอิง

Author

  • รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน

Related   Articles

อยากมีความสุข
อยากมีความสุข ต้องหยุดวิ่งตามความสุข! เปลี่ยนชีวิตด้วยแนวคิด Antifragility
หลายคนเข้าใจว่าความสุขคือการใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย ปราศจากความเจ็บปวดหรือความเครียด แต่ในความเป็นจริง งานวิจัยพบว่า การวิ่งไล่ตามความสุขมากเกินไป อาจทำให้เราห่างไกลจากมันยิ่งขึ้นแนวคิด...
วิธีเพิ่ม Employee Engagement
15 วิธีเพิ่ม Employee Engagement สำหรับ HR โดยไม่เสียเงินสักบาท
ทีม HR ไม่ใช่ทีมที่มีเงินเยอะเท่าไหร่ แต่อยากหา “วิธีเพิ่ม Employee Engagement” ให้ได้ผลCareerVisa มี 15 ไอเดียมาแนะนำ ในแบบทีไม่ต้องใช้เงินเพิ่มสักบาท.♥️ส่งเสริมสมดุลชีวิตและการทำงาน...
10 ทักษะ
10 ทักษะสุดล้ำ พัฒนาไว้เพื่อก้าวสู่อนาคตการทำงานในปี 2025
เทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงของโลกการทำงานในปี 2025 โลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีใหม่ ๆ ถูกพัฒนาและนำมาใช้ในทุกสายงาน ทำให้ทักษะที่เคยสำคัญอาจล้าสมัยไปอย่างรวดเร็ว...