ในยุคที่ทุกอย่างเป็น “Always on” หรือพร้อมทำงานตลอดเวลา อาการ Burnout กลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในกลุ่มคนทำงานโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะสำหรับคนที่มักจะ “พร้อมช่วยทุกคน” จนลืมใส่ใจตัวเอง หากคุณกำลังรู้สึกเหนื่อยล้า แม้จะพักแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น นั่นอาจเป็นสัญญาณของ Burnout ที่กำลังส่งผลกระทบต่อชีวิตและการทำงานของคุณ
ในบทความนี้ เราจะเจาะลึกถึงสัญญาณ Burnout และวิธีการจัดการเพื่อเพิ่ม Productivity และสร้างความสุขในการทำงานอีกครั้ง ตามคำแนะนำจาก Dr. Cal Newport และ Dr. Andrew Huberman นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านการทำงานและสมอง
สัญญาณของ Burnout ที่คุณอาจไม่รู้ตัว
Burnout ไม่ใช่แค่ความเหนื่อยทางกาย แต่รวมถึงความเหนื่อยทางใจที่ลึกซึ้ง ซึ่งแม้จะพักผ่อนแล้วก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้น โดยมีสัญญาณที่พบบ่อยดังนี้:
- รู้สึกหมดแรงแม้หลังจากพักผ่อน: คุณอาจรู้สึกว่าไม่มีพลังในการทำงานหรือใช้ชีวิต แม้จะได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ
- Productivity ลดลง: งานที่เคยทำได้ดีอาจกลายเป็นสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกเบื่อหน่ายหรือใช้เวลามากขึ้น
- ความสุขในการทำงานลดลง: สิ่งที่เคยสร้างแรงบันดาลใจกลับกลายเป็นเรื่องที่คุณต้องฝืนใจทำ
สาเหตุของ Burnout: วัฒนธรรม Always on
Burnout มักเกิดจากวัฒนธรรมการทำงานที่เน้นการตอบสนองทันที เช่น:
- การทำงานแบบ Always on: คุณรู้สึกว่าต้องพร้อมรับคำสั่งหรือข้อความอยู่ตลอดเวลา
- การจัดการเวลาที่ผิดพลาด: เวลาส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับงานเร่งด่วน (Ad-hoc tasks) ที่ไม่มีคุณค่า แทนที่จะเป็นงานที่สำคัญ (Deep Work)
- ความกดดันจากสังคม: วัฒนธรรมการทำงานมักชื่นชมคนที่ทำงานหนักและตอบสนองไว ซึ่งอาจทำให้คุณรู้สึกกดดันและต้องทำตาม
วิธีจัดการ Burnout และคืนความสุขในการทำงาน
หากคุณกำลังเผชิญกับ Burnout ต่อไปนี้คือวิธีที่คุณสามารถเริ่มต้นจัดการได้:
1. Take Back Control
ตั้งกฎสำหรับตัวเอง เช่น:
- ตอบอีเมลเฉพาะช่วงเวลา เช่น 8:00-10:00 เท่านั้น
- หยุดเช็กข้อความหรือแชทงานหลัง 20:00
2. ฝึกสมองให้ Prioritize เป็น
ก่อนรับงานใหม่ ให้ถามตัวเองว่า:
- “งานนี้จำเป็นต้องทำตอนนี้จริงหรือไม่?”
- หากไม่จำเป็น คุณสามารถเลื่อนหรือมอบหมายงานนั้นให้ผู้อื่นได้
3. กล้าที่จะปฏิเสธ
เรียนรู้ที่จะปฏิเสธอย่างสุภาพ และเข้าใจว่าการปฏิเสธไม่ใช่เรื่องผิด เช่น:
- “ขอโทษค่ะ ตอนนี้ยังไม่สามารถรับงานเพิ่มเติมได้”
4. สร้างพื้นที่สำหรับ Focus และ Deep Work
จัดสรรเวลาสำหรับงานสำคัญ เช่น:
- ปิดการแจ้งเตือน
- ใช้ช่วงเวลาที่เงียบสงบเพื่อวิเคราะห์และวางแผนงาน
5. วัดคุณค่าด้วย Impact ไม่ใช่ความเร็ว
หยุดวัดความสำเร็จของตัวเองด้วยการ “ตอบไว” หรือ “ทำงานชั่วโมงเยอะ” แต่ให้มุ่งเน้นไปที่ผลลัพธ์และคุณค่าที่คุณสร้างขึ้น เช่น ผลกระทบที่งานของคุณมีต่อทีมและองค์กร
ตัวอย่างการจัดการ Burnout ในชีวิตจริง
ตัวอย่างเช่น คุณ “เอ” เป็นพนักงานที่ต้องรับผิดชอบงานหลายด้าน จนไม่มีเวลาทำงานที่สำคัญและเกิด Burnout ในที่สุด แต่หลังจากปรับวิธีการทำงานตามคำแนะนำ:
- เขาตั้งเวลาสำหรับการทำงาน Deep Work ในช่วงเช้า 2 ชั่วโมง โดยปิดการแจ้งเตือนทั้งหมด
- เรียนรู้ที่จะพูด “ไม่” กับงานเร่งด่วนที่ไม่สำคัญ
- วัดผลลัพธ์จากความสำเร็จของโปรเจกต์ ไม่ใช่จำนวนชั่วโมงที่ทำงาน
ผลลัพธ์คือ Productivity ของเขาเพิ่มขึ้น และความสุขในการทำงานก็กลับมาอีกครั้ง
สรุป
Burnout ไม่ใช่สิ่งที่ควรละเลย โดยเฉพาะในยุคที่วัฒนธรรม Always on กดดันให้เราต้องพร้อมทำงานเสมอ การรู้จักตั้งขอบเขตและจัดการเวลาอย่างเหมาะสมเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้คุณเพิ่ม Productivity และความสุขในการทำงาน
หากคุณกำลังเผชิญกับ Burnout ลองนำคำแนะนำข้างต้นไปปรับใช้ และอย่าลืมว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการดูแลตัวเอง เพื่อให้คุณสามารถสร้าง Impact ที่ยั่งยืนในระยะยาวได้
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการพัฒนาการทำงานและการดูแลสุขภาพจิตได้ที่ CareerVisa
.
อ้างอิง