ขับเคลื่อนองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการตั้ง OKR

OKR

ไม่ว่าจะองค์กรไหนก็ตาม ย่อมต้องมีการตั้งเป้าหมายและติดตามผลงานของพนักงาน ซึ่งแต่ละองค์กรก็มีรูปแบบการตั้งเป้าหมายที่แตกต่างกัน มี Template การใช้ที่ไม่เหมือนกันแล้วแต่ว่าองค์กรนั้นเหมาะกับการตั้งเป้าหมายแบบไหน OKR ก็เป็นอีกหนึ่ง Pattern ของการตั้งเป้าหมายในองค์กร และมีความแตกต่างที่น่าสนใจจากการตั้งเป้าหมายรูปแบบอื่นๆ วันนี้ CareerVisa จะมาอธิบายและให้ทุกคนได้ทำความรู้จัก OKR ให้มากขึ้น เพื่อที่จะได้สามารถเลือกไปใช้พัฒนาองค์กรให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้

OKR คืออะไร ?

OKRs ย่อมาจาก Objectives and Key Results หรือที่แปลง่ายๆ ว่า “วัตถุประสงค์และผลลัพธ์หลัก เป็นรูปแบบการตั้งเป้าหมายและติดตามผลที่หลากหลายองค์กรเลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรระดับโลกอย่าง Google, Intel, LinkedIn และ Netflix เป็นต้น 

ซึ่งแนวคิดการวัดผลแบบ OKR เคยถูกคิดว่าเหมาะสมกับแค่ Startup เท่านั้น แต่จริงๆ แล้ววิธีนี้ถูกใช้มาอย่างยาวนานแล้วริเริ่มตั้งแต่องค์กร Intel ในปี 1975 โดย Andy Grove ก่อนที่รูปแบบการวัดผล OKR จะถูกเลือกใช้อย่างแพร่หลายในหลายองค์กรดังมากยิ่งขึ้น

มากไปกว่านั้น Objectives and Key Results จะเป็นการวัดเป้าหมายอย่างละเอียด ซึ่งมีความแตกต่างจากการวัดเป้าหมายในรูปแบบอื่นๆ อยู่พอสมควร เนื่องจากการตั้ง OKR จะไม่ใช่แค่การตั้งเป้าหมายเป็นชิ้นๆ ให้สำเร็จไป แต่จะเป็นการตั้งเป้าหมายให้เกินตัวขึ้นไปอีกเพื่อที่จะได้ทำให้เกิดการเติบโตและพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว นี่เลยเป็นเหตุผลว่าทำไม OKR ถึงเป็นที่นิยมอย่างมากในองค์กร Startup เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา

หลักการตั้งเป้าหมาย OKR

OKRs (Objectives and Key Results) คือระบบตั้งเป้าหมายที่ช่วยให้พนักงานทุกคนมุ่งไปในทิศทางเดียวกับองค์กรอย่างสอดคล้องและมีประสิทธิภาพ โดยการตั้ง OKR ที่ดี ควรทำตามหลักการง่ายๆ ดังนี้:

  1. กำหนด Objective ไม่เกิน 5 ข้อ
    ควรเลือกเป้าหมายที่สำคัญที่สุดและมุ่งเน้นในแต่ละไตรมาส เพื่อให้ทีมสามารถโฟกัสได้อย่างเต็มที่
  2. ตั้ง Key Results ไม่เกิน 5 ข้อ
    Key Results (KR) คือผลลัพธ์ที่ต้องการเพื่อวัดความสำเร็จของ Objective ควรกำหนดให้น้อยและชัดเจน เพื่อการติดตามผลที่ง่ายขึ้น
  3. ตั้ง Objective ให้ท้าทาย
    เป้าหมายที่ตั้งควรเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้พนักงานก้าวข้ามขีดจำกัดและพัฒนาตัวเอง แต่ยังคงเชื่อมโยงกับความสำเร็จขององค์กร
  4. Key Results ต้องวัดผลได้
    KR ควรมีเกณฑ์ที่ชัดเจน เช่น ตัวเลขหรือผลลัพธ์ที่สามารถประเมินได้ และต้องเชื่อมโยงโดยตรงกับ Objective
  5. สร้างความสมดุลระหว่างความท้าทายและความเป็นไปได้
    แม้จะตั้งเป้าหมายให้ท้าทาย แต่ก็ควรอยู่ในระดับที่เป็นไปได้จริง เพื่อสร้างแรงจูงใจ ไม่ทำให้พนักงานรู้สึกกดดันจนเกินไป

ตัวอย่างการเขียน OKRs ของแต่ละแผนก

การตั้ง OKRs สามารถปรับใช้ได้กับทุกแผนกในองค์กร เพื่อให้เป้าหมายของแต่ละส่วนงานเชื่อมโยงและสนับสนุนเป้าหมายหลักขององค์กร ตัวอย่าง OKRs ของแต่ละแผนกมีดังนี้:

  1. แผนกการตลาด (Marketing)
    Objective: เพิ่มการรับรู้ในแบรนด์ (Brand Awareness)
    • Key Result 1: เพิ่มยอดผู้ติดตามในโซเชียลมีเดีย 20% ภายในไตรมาสที่ 1
    • Key Result 2: เปิดตัวแคมเปญการตลาด 3 แคมเปญในไตรมาสถัดไป
    • Key Result 3: เพิ่มอัตราการมีส่วนร่วม (Engagement Rate) บนโซเชียลมีเดียเป็น 15%
  2. แผนกทรัพยากรบุคคล (HR)
    Objective: ยกระดับประสบการณ์พนักงาน (Employee Experience)
    • Key Result 1: เพิ่มคะแนนความพึงพอใจของพนักงาน (Employee Satisfaction) เป็น 85% ในการสำรวจครั้งหน้า
    • Key Result 2: จัดอบรมพัฒนาทักษะ 3 หลักสูตรให้พนักงานภายใน 6 เดือน
    • Key Result 3: ลดอัตราการลาออกของพนักงานลง 10% ภายในสิ้นปี
  3. แผนกพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product Development)
    Objective: ยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์
    • Key Result 1: ลดอัตราความผิดพลาด (Bug Rate) ของซอฟต์แวร์ลง 20% ภายในไตรมาสหน้า
    • Key Result 2: เพิ่มความเร็วในการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ลดเวลานำส่ง (Time to Market) เหลือ 3 เดือน
    • Key Result 3: ได้รับคะแนนรีวิวผลิตภัณฑ์เฉลี่ยจากลูกค้า 4.5/5
  4. แผนกฝ่ายขาย (Sales)
    Objective: เพิ่มยอดขายและการปิดการขาย
    • Key Result 1: เพิ่มยอดขายรายเดือนขึ้น 25% ภายในไตรมาสนี้
    • Key Result 2: ขยายฐานลูกค้าใหม่ 15 รายต่อเดือน
    • Key Result 3: ลดระยะเวลาเฉลี่ยในการปิดการขายลง 10%
  5. แผนกไอที (IT)
    Objective: ปรับปรุงโครงสร้างระบบให้มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงขึ้น
    • Key Result 1: ลด Downtime ของระบบให้ไม่เกิน 1 ชั่วโมงต่อเดือน
    • Key Result 2: เพิ่มความเร็วในการแก้ไขปัญหาทางเทคนิค ลดเวลาเฉลี่ยเหลือ 2 ชั่วโมง
    • Key Result 3: ผ่านการตรวจสอบระบบความปลอดภัยประจำปีโดยไม่มีข้อผิดพลาด

จากตัวอย่าง การตั้งวัตถุประสงค์คือการเพิ่มยอดขายให้สินค้า ซึ่งเป็นเป้าหมายเชิงคุณภาพ ในขณะเดียวกันผลลัพธ์หรือ Key Result ควรเป็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้และนำไปสู่การทำเป้าหมายให้สำเร็จ จึงต้องมีการตั้งค่าที่วัดผลได้ และมีระยะเวลาชัดเจน

ประโยชน์ของ OKR ที่มีต่อองค์กร

1. สร้างแรงผลักดันให้พนักงานได้พัฒนาตัวเอง

เพราะแนวคิดแบบ OKRs เป็นการตั้งเป้าหมายที่เกินตัวขึ้นไปอีก จึงถือว่าเป็นการผลักดันให้เกิดการพัฒนาตัวเองขั้นสูงสุด และถ้าหากพนักงานสามารถำเป้าหมายนี้ได้สำเร็จ ก็จะสามารถเป็นคนที่เก่งและมีประสิทธิภาพขึ้นไปอีกระดับขึ้นหนึ่งเลยทีเดียว

2. มองเห็นแนวทางการแก้ปัญหาที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

เมื่อเกิดปัญหาในกระบวนการทำงาน ผู้บริหารสามารถวิเคราะห์คะแนน Objectives and Key Results เพื่อหาแนวทางแก้ไข โดยดูจากตัวเลขว่างานส่วนใดควรปรับปรุง และส่วนใดทำได้ดีอยู่แล้ว

3. พนักงานกับองค์กรพัฒนาไปในทิศทางเดียวกัน

Objectives and Key Results ที่ดีจะช่วยให้ทุกระดับในองค์กรพัฒนาไปในทิศทางเดียวกัน โดยเชื่อมโยงเป้าหมายตั้งแต่ระดับบุคคลที่มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพ ไปจนถึงเป้าหมายระดับทีม เช่น การทำโปรเจกต์ และเป้าหมายระดับองค์กร ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จทางธุรกิจ

ตัวอย่างองค์กรที่ใช้การตั้งเป้าหมายแบบ OKR

1. Google 

  • มุ่งเน้น OKRs ที่มีความทะเยอทะยาน (Stretch Goals) ครอบคลุมถึงนวัตกรรม เทคโนโลยี AI และการขยายการเข้าถึงบริการ

2. Intel

  • มุ่งเน้น OKRs ที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพการผลิต การพัฒนาเทคโนโลยีชิป และการแข่งขันในตลาด

3. LinkedIn

  • มุ่งเน้นการตั้งเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตของผู้ใช้งาน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ และการเพิ่มรายได้

แม้ OKRs จะเป็นเครื่องมือวัดผลที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่การทำความเข้าใจหลักการของ OKRs อย่างถ่องแท้เป็นสิ่งสำคัญ หากองค์กรนำไปใช้อย่างถูกต้อง จะส่งผลดีและเพิ่มคุณค่าให้กับองค์กรอย่างแน่นอน

OKRs vs KPIs : ความแตกต่างที่คุณควรรู้

1. จุดประสงค์

  • OKRs: เน้นที่การเติบโต การพัฒนา และการสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ เป้าหมายจะถูกตั้งให้มีความท้าทายเพื่อกระตุ้นการพัฒนาทั้งระดับบุคคล ทีม และองค์กร
  • KPIs: ใช้สำหรับติดตามและวัดผลการดำเนินงานที่เฉพาะเจาะจงตามเป้าหมายธุรกิจที่กำหนดไว้ล่วงหน้า

2. ลักษณะการใช้งาน

  • OKRs:
    • มุ่งเน้นเป้าหมายระยะสั้น เช่น รายไตรมาส
    • เชื่อมโยงเป้าหมายระดับองค์กรและบุคคล
    • มีลักษณะยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์
  • KPIs:
    • เป็นตัวชี้วัดที่ใช้ในระยะยาว เช่น ประจำปี
    • วัดผลเฉพาะตัวชี้วัดที่มีผลต่อธุรกิจ เช่น ยอดขาย รายได้ หรือค่าใช้จ่าย
    • มีความคงที่และต่อเนื่อง

3. ข้อดีและข้อเสีย

  • OKRs:
    • ข้อดี: ช่วยกระตุ้นการเติบโตและการพัฒนา มีความยืดหยุ่นสูง
    • ข้อเสีย: อาจวัดผลยากในบางสถานการณ์ เนื่องจากเป้าหมายมีความทะเยอทะยาน
  • KPIs:
    • ข้อดี: ช่วยให้ติดตามผลลัพธ์ที่ชัดเจนและเฉพาะเจาะจง
    • ข้อเสีย: มักเน้นที่การรักษาประสิทธิภาพ มากกว่าการสร้างการเปลี่ยนแปลง

อ้างอิง: 

Author

  • รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน

Related   Articles

10 ทักษะ
10 ทักษะสุดล้ำ พัฒนาไว้เพื่อก้าวสู่อนาคตการทำงานในปี 2025
เทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงของโลกการทำงานในปี 2025 โลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีใหม่ ๆ ถูกพัฒนาและนำมาใช้ในทุกสายงาน ทำให้ทักษะที่เคยสำคัญอาจล้าสมัยไปอย่างรวดเร็ว...
เทรนด์ที่ทำงาน
7 เทรนด์ที่ทำงานน่าติดตาม ที่จะมาเปลี่ยนชีวิตการทำงานปี 2025
ในปีที่ผ่านมา มีหลากหลาย “เทรนด์การทำงาน” และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานของพนักงานทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มบทบาทของ AI ในระบบการทำงานขององค์กร...
OKR
ขับเคลื่อนองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการตั้ง OKR
ไม่ว่าจะองค์กรไหนก็ตาม ย่อมต้องมีการตั้งเป้าหมายและติดตามผลงานของพนักงาน ซึ่งแต่ละองค์กรก็มีรูปแบบการตั้งเป้าหมายที่แตกต่างกัน มี Template การใช้ที่ไม่เหมือนกันแล้วแต่ว่าองค์กรนั้นเหมาะกับการตั้งเป้าหมายแบบไหน...