บริษัทด้านเครื่องสำอางความเบอร์ 1 ของโลกคือบริษัทอะไร? คำตอบคือ L’Oreal Group ผ่านแบรนด์ชั้นนำที่เราคุ้นเคย เช่น L’Oreal Paris / Maybelline / Lancôme / Biotherm / Yves Saint Laurent / ที่ขายอยู่ 150 ประเทศทั่วโลก เคาะยอดขายทั่วโลกปี 2022 ไปเบาะๆ ราว 1.4 ล้านล้านบาท
แต่ความสำเร็จทั้งหมดนี้ เบื้องหลังล้วนขับเคลื่อนด้วย “คน” …คำถามน่าสนใจต่อไปคือ แล้ว L’Oreal มีวิธีดึงดูดคนเก่งให้มาร่วมงานอย่างไร?
โดย L’Oreal Group ได้เปิดรับ 25,000 ตำแหน่งทั่วโลก แต่มีคนสมัครงานเข้ามากว่า 1,300,000 คน เรียกว่าล้นทะลักก็ไม่ผิด ทำให้อัตราการรับตกไปอยู่ที่ 2% เพราะคนสมัครมาเยอะกว่าที่คิด บริษัทระดับโลกขนาดนี้ทำอย่างไรถึงดึงดูดให้คนทำงานสมัครงานมามากมายมหาศาลขนาดนี้ ถึงขั้นเป็น magnet แถวหน้าในอุตสาหกรรมก็ไม่เกินจริง?
สานต่อปณิธานผู้ก่อตั้ง
“บริษัทไม่ใช่กำแพงและเครื่องจักร แต่คือ…ผู้คน ผู้คน ผู้คน” (A company is not walls and machines, it’s people, people, people.) คือคำพูดของคุณ Eugène Schueller ผู้ก่อตั้ง LÓreal Group
ย้อนกลับไปอดีต ในโลกยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมใหม่ๆ ทุกอย่างรายล้อมไปด้วยเครื่องจักร เครื่องจักร เครื่องจักร เพื่อผลิตๆ ให้ได้เยอะที่สุด แนวคิดนี้ของผู้ก่อตั้งจึงเป็นอะไรที่แตกต่างและหัวก้าวหน้ามากแม้กาลเวลาจะล่วงเลยมานับศตวรรษแล้ว แต่ก็ยังสอดคล้องกับคนทำงานรุ่นใหม่อย่างไม่เสื่อมคลาย
ประโยคที่ให้ความสำคัญคุณค่าของครในองค์กรนี้ จะถูกส่งต่อให้พนักงานใหม่ที่พึ่งเข้ามาทำงาน แปะเป็นคำคมสั้นๆ ตามฝาหนัง ถูกบรรจงเขียนอยู่ในเวปไซต์บริษัท ถูกประชาสัมพันธ์ผ่านทุกช่องทางเป็นพื้นฐานคุณค่าที่แบรนด์โฟกัส
องค์กรแห่งความหลากหลาย
องค์กรตั้งภารกิจ “Beauty for All” ซึ่งมาจากคำถามเซนซิทีฟที่ได้รับฟังเสียงจากลูกค้าทั่วโลกว่า “ทำไมเครื่องสำอางถึงยังไม่เข้ากับเฉดสีผิว?” เรื่องนี้สะท้อนมาจากลูกค้าตัวจริงที่มีความหลากหลายไม่แพ้กัน องค์กรจึงต้องหลากหลายตามให้ได้เทียบเท่าเพื่อตอบโจทย์ความต้องการ
บริษัทยังมีนโยบายกำหนด “โควต้า” ในทุกประเทศที่ไปดำเนินการว่าต้องเปิดรับกลุ่มคนเพศสภาพ LGBT+ และกลุ่มคนพิการ เข้าร่วมทีมด้วย องค์กรต้องการป็นแบบอย่างเพื่อโปรโมตแนวคิดความเท่าเทียม (Equality & Inclusivity) ที่หยั่งรากลึกลงเรื่อยๆ ในวัฒนธรรมการทำงานของคนรุ่นใหม่
และในมุมเชิงการแข่งขัน การเปิดกว้างเปิดรับผู้คนหลากหลายเข้ามานี้ยังสร้าง “แต้มต่อ” ให้ทีมมีคสามคิดที่หลากหลาย ตกผลึกไอเดียความคิดรอบด้าน อุดช่องโหว่ที่มักเกิดขึ้นถ้าปราศจากกลุ่มคนหลากหลายนี้ เช่น
- งานโฆษณาที่ใส่ใจรายละเอียดกลุ่ม LGBT+ ผ่านการแต่งกายและภาษาคำพูด
- การออกแบบร้านที่คำนึงถึง Universal design รองรับคนพิการนั่งวีลแชร์
ดังที่เราพอจะสัมผัสได้ผ่านผลิตภัณฑ์เจ๋งๆ ในเครือขององค์กร เพราะความหลากหลายสร้างนวัตกรรมี่เหนือความคาดหมาย การตลาดสุดครีเอทีฟ และกลยุทธ์ธุรกิจอันแยบยล จะว่าไปแล้ว L’Oreal Group ไม่ได้จำกัดแค่เพศเท่านั้น แต่รวมถึงเชื้อชาติ วัฒนธรรม และไอเดียความคิดซึ่งสำคัญไม่แพ้กัน
สวัสดิการโดนใจ
ด้านสวัสดิการก็เจ๋งและครอบคลุมหลากหลายตามความต้องการของพนักงานไม่แพ้กัน พนักงานมีสิทธิพิเศษในการทำประกันกลุ่มของบริษัทและแพกเกจตรวจสุขภาพให้กับคู่ชีวิตในราคาพิเศษ
ในด้านวันลา มี Flex Leave สูงสุด 15 วัน หยุดลาไปทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องแจ้งรายละเอียด ซึ่งเพิ่มเติมทบต้นไปอีกจากวันลาพักร้อนมาตรฐานที่ 12 วัน ทั้งนี้ พนักงาน LGBTQ+ ยังสามารถใช้สิทธิ์ขอลาเพื่อไปอุปการะบุตรบุญธรรมได้ด้วย พร้อมมีงบทุนการศึกษาให้ด้วย
องค์กรยังใส่ใจรายละเอียดที่เซนซิทีฟ เช่น ไม่ใส่คำนำหน้าชื่อพนักงานเมื่อต้องติดต่อคุยงานกันภายในองค์กร เวลา candidate ส่งเรซูเม่สมัครงานก็ไม่ต้องระบุเพศ
พนักงานมีส่วนร่วม
องค์กรมีนโยบาย Worldwide Employee Share ให้พนักงานได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นทิศทางใหญ่ๆ ที่องค์กรจะเดินไป มีส่วนในการได้ตัดสินใจ มีโปรแกรมรับฟังเสียงความต้องการให้ทุกคนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร ให้ทำงานแบบรู้สึกมีความหมายและมีความสุข โดยเชื่อว่า ถ้าพนักงานทำงานแบบมีความสุขจริงๆ พวกเขาจะทำงานเกินเงินเดือนที่จ่ายให้ด้วยซ้ำ
ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มความเป็นรูปธรรมให้ชัดเจนขึ้น องค์กรยังมอบสิทธิพิเศษให้พนักงานสามารถซื้อหุ้นบริษัทในราคาส่วนลด 20% จากราคาปกติ เพราะการซื้อหุ้นแสดงถึงความเป็นเจ้าของร่วมในบริษัทนี้
องค์กรแห่งความยั่งยืน
L’Oreal ประกาศชัดถึงคุณค่า Sustainable Development การพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ไม่ได้มองเป็นแค่เทรนด์ หรือทำในสเกลเล็กๆ แต่ตั้งใจเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างทั้งองค์กร
มีการปักธง “L’Oreal for the Future” ต้องการเป็นผู้นำที่สร้างมาตรฐานใหม่ในอุตสาหกรรมความงามอย่างยั่งยืน เช่น ภายในปี 2030
- ส่วนผสมกว่า 95% ต้องมาจากแหล่งชีวภาพ (Bio-based)
- พลาสติกที่ใช้ในแพกเกจจิ้ง ต้องรีไซเคิลได้ 100%
พอเป็นแบบนี้ คนทำงานโดยเฉพาะพนักงานรุ่นใหม่ก็สัมผัสได้ถึง Sense of Purpose ที่องค์กรเอาจริงเอาจังและตั้งเป้าหมายเพื่อบรรลุให้ได้จริง ตัวเองในฐานะคนทำงานจึงรู้สึกถึงงานที่เป็น meaningful job งานที่มีความหมายและสร้างประโยชน์ให้สังคม
เพราะนี่คือการดึงดูดคนเก่งให้มาร่วมงานที่สตรองเข้มแข็งมาจากภายในองค์กร โดนใจคนรุ่นใหม่ หลากหลายครอบคลุมทุกความต้องการ จนคนสมัครงานเข้ามากว่า 1,300,000 ล้านคนต่อปี และดูเหมือนว่ามีแต่จเพิ่มขึ้น!
อ้างอิง
- https://www.loreal.com/en/group/culture-and-heritage/life-at-loreal/
- https://www.thepeople.co/business/career/51852
- https://www.sdthailand.com/2018/07/loreal-hr-group/
- https://marketeeronline.co/archives/59007
- https://www.loreal.com/en/commitments-and-responsibilities/for-the-planet/preserving-natural-resources/