ชีวิตไปต่อได้เพราะบริหารเวลาเป็น
อย่างที่เราน่าจะพอรู้กัน คุณรวิศทำหลายอย่างเอามากๆ ทั้งงานผลิตภัณฑ์ที่ศรีจันทร์ งานสื่อ Mission To The Moon งานอีเวนต์ขึ้นบรรยายยตามที่ต่างๆ เรื่องแพชชั่นส่วนตัวอย่างการวิ่งออกกำลังกาย ไหนจะต้องทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัวให้ดีเยี่ยมอีก แต่เรายังเห็นคุณรวิศไปสุดได้สำเร็จทุกทาง
เบื้องหลังที่ทำได้นี้ไม่ใช่ความลับ แต่เป็นแค่การ “บริหารเวลา” ให้ได้อย่างดีเยี่ยม มีวินัย วางแผนอย่างรอบคอบ และต้องเมคเซนส์ทำได้จริง Time Management เป็นสกิลที่เป็นระดับผู้บริหาร-เจ้าของธุรกิจ-หัวหน้างานแบบเราๆ จำเป็นต้องมี สกิลคือทักษะ ทักษะแปลว่าฝึกฝนกันได้
วิธีของคุณรวิศเริ่มจากการยอมรับความจริงก่อนว่า คนเรามีเวลาจำกัด ไม่สามารถทำทุกเรื่องด้วยตัวเองได้หรอก Mindset นี้ยังเป็นการเผื่อพื้นที่ว่างทางใจสำหรับความล้มเหลวเวลางานไม่เสร็จตามเดตไลน์ ทำให้ไม่เครียดหรือซ้ำเติมตัวเองเกินไป
- คุณรวิศจะเริ่มจากจัดเรียงลำดับความสำคัญ (Prioritize) อย่างเป็นระบบ
- ตัดทิ้งเรื่องไม่สำคัญทิ้งไป นำเรื่องไม่เร่งด่วนไปต่อคิวข้างหลัง
- ก่อน assign งานบางส่วนให้ลูกทีมดูแล
- และดึงตัวผู้เชี่ยวชาญมาช่วยในเรื่องที่เป็นจุดอ่อน
- ส่วนตัวเองไปโฟกัสที่จุดแข็งที่ทำได้ดี
และพื้นฐานสำคัญที่สุดที่จะไม่ประนีประนอมคือ “คุณภาพการนอนหลับ” เพราะการจะทำสิ่งเหล่านี้ได้ สุขภาพร่างกายต้องพร้อมก่อน
ทั้งหมดนี้ฟังดูเหมือนง่าย แต่เอาเข้าจริงแล้วอาศัยการตัดสินใจที่เด็ดขาด การยอมรับข้อด้อยข้อจำกัดของตัวเอง การเฟ้นหาคนเก่งรอบตัว และต้องมีวินัยสุดๆ กับตัวเอง
อ่าน อ่าน อ่าน
“ผมตัดสินใจ Rebranding ศรีจันทร์จากการอ่านหนังสือ” คุณรวิศเคยพูดไว้
เขามีนิสัยเปิดกว้างการอ่านหนังสือเป็นทุนเดิมอยู่แล้วตั้งแต่เด็ก แต่มาอ่านจริงจังตอนโต โดยเฉพาะช่วงเปลี่ยนงานจากมนุษย์เงินเดือน มาสานต่อธุรกิจครอบครัว
คุณรวิศจบด้านวิศวกรรม แต่ต้องดูแลด้าน Marketing เป็นหลัก ซึ่งตอนนั้นเขาไม่มีความรู้ด้านนี้เท่าไรเลย สิ่งเดียวที่ทำได้คือ อ่าน อ่าน อ่าน…อ่านมันเข้าไป โดยเฉพาะด้านการตลาด การโฆษณา บริหารธุรกิจ จิตวิทยา เรียกว่าทุกด้านที่ส่งเสริมกันและกัน
ความน่าสนใจคือ คุณรวิศมีนิสัย “จดบันทึก” สิ่งที่อ่าน เวลาเจอประโยคโดดๆ ตัวอย่างเด็ดๆ จะขีดเขียนลงบนหน้าหรือบันทึกเก็บไว้ ใครจะไปรู้ว่าสิ่งที่จดจะกลายมาเป็น asset ให้เขาหยิบใช้ต่อยอดในอนาคต
หนังสือ What I Wish I Knew When I Was 20 คือเล่มแรกที่สร้างแรงบันดาลใจให้เขากล้า Rebranding ศรีจันทร์ หนังสือกระตุ้น mindset ของการคิดค้นนวัตกรรม เปิดรับความเป็นไปได้ใหม่ๆ มองความผิดพลาดล้มเหลวเป็นขั้นบันไดสู่ความสำเร็จ เราจึงเห็นศรีจันทร์ transform สู่แบรนด์ยุคใหม่ในทุกเรื่องทั้งหน้าบ้าน-หลังบ้าน แทบไม่เหลือเค้าโครงแบรนด์เก่าแก่อายุหลายทศวรรษอีกเลย
เขายังชื่นชมหนังสือ Predatory Thinking ของ Dave Trott ที่เล่าเรื่องการโฆษณาและประวัติศาสตร์ด้วยภาษาที่เท่และเข้าใจง่าย ซึ่งคุณรวิศได้ปรับมาใช้กับการทำ Storytelling ในธุรกิจด้วย
พอมาทำพอตแคสท์ Mission To The Moon ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าการอ่านหนังสือกลายเป็นวัตถุชั้นเลิศในการนำย่อยและตกผลึกเล่าให้ผู้ฟังแบบเราอีกที สิ่งที่เขาเคยจดบันทึกไว้หลายอย่างก็ถูกนำมาประกอบร่าง เพื่อถ่ายทอดออกมาเป็นคอนเทนต์ที่น่าติดตาม จนขึ้นแท่นพอตแคส์อันดับต้นๆ ของประเทศ ก่อนขยายเป็นอาณาจักรสื่อ ขยายไปทุกช่องทางโซเชียล และแตกแบรนด์ย่อย เช่น 5 Minutes / Mission Daily Report / และล่าสุด New You
ฟัง-พูด-อ่าน-เขียน จะเขียนได้ดี…ต้องอ่านมาเยอะ เมื่ออ่านเยอะถึงจุดหนึ่ง สกิลการเขียนก็อัพเกรดขึ้นตาม จนคุณรวิศสามารถออกหนังสือเป็นของตัวเองได้ เป็นช่องทางสร้างการรับรู้ตัวตน CEO Branding แบบเชิงลึก และทำหน้าที่เป็น “นามบัตร” ในตัวมันเองเวลามีนักธุรกิจอยากแกะความคิดทำความรู้จัก หนังสือสร้างความน่าเชื่อถือและไว้วางใจได้ดีเยี่ยม จนเปิดประตูอีกบานสู่การเป็นวิทยากรแถวหน้าของประเทศ มีการจัดงานอีเวนท์ใหญ่ทุกปี เช่น Mission To The Moon Forum
ส่วนงานที่บริษัท เขาถึงกับออกแบบสวัสดิการที่ศรีจันทร์ โดยให้งบพนักงานไปซื้อหนังสือฟรี 1 เล่มทุกเดือน ส่งเสริมการอ่านและอ้พสกิลทางความคิดให้ทีมไปต่อได้
จาก Productivity geek สู่ชายที่ทำงานโดยใส่ใจด้านอื่นมากขึ้น
“ผมยอมรับว่าผมเคยคิดผิดไป” เรามักคิดว่าเราเป็น CEO แล้วจะขอโทษไม่ได้ การขอโทษเป็นสัญญาณของความอ่อนแอ แต่คุณรวิศไม่คิดเช่นนั้น เมื่อผิดต้องกล้ายอมรับ และยอมรับว่าแบบเปิดเผยตรงไปตรงมา เพราะไม่มีอะไรเพอเฟกต์ ตัวเขาเองก็ผิดได้
เขาเคยมีชุดความคิดว่า การที่พนักงานคนหนึ่งล้มเหลวกับชีวิตหรือการทำงาน ไร้สกิล บริหารเวลาไม่เป็น การเงินย่ำแย่ อารมณ์แปรปรวน เป็นเพราะปัญหาเชิงปัจเจกที่มาจากเจ้าตัวเอง
แต่เมื่อเกิดโควิด-19 เขาเองได้ออกมาช่วยเหลือผู้คนจนได้ปะทะพบเจอกับโลกอีกสังคมหนึ่งที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ ความไม่เท่าเทียม การขาดโอกาสตั้งแต่เด็ก ทำให้เขายอมรับว่าตัวเองคิดผิด และมองเรื่องนี้ว่าเป็น “ปัญหาเชิงโครงสร้าง”
เป็นเรื่องไม่ง่ายนักที่ CEO จะออกมายอมรับผิด และนี่คือสิ่งที่คุณรวิศกล้าทำ
แนวคิดการทำงานแบบหัวสมัยใหม่
ในวัยเลข 4 แม้จะไม่ใช่คนรุ่นใหม่ซะทีเดียวในเชิงตัวเลขอายุ แต่คุณรวิศยังมีมุมมองการทำงานที่ถูกจริตคนรุ่นใหม่และโลกสมัยใหม่ไม่น้อย
อย่างเช่น เขามองว่าทีม Marketing ควรวางแผนแต่พอเหมาะ ไม่ต้องเยอะมาก ไม่ต้องประดิษฐ์สไลด์พรีเซนท์ให้สวยเลิศอะไร แต่ควรออกไปรับฟังให้มาก ออกไปคุยกับลูกค้าตัวจริงให้เยอะดีกว่า เพราะนั่นคือ Insights ที่มีประโยชน์จริงๆ
ทำงานแบบ flexible & resilient เป็นแบรนด์แรกๆ ที่ work from home เต็มรูปแบบสมัยโควิดใหม่ๆ และปรับตัวไปตามสภาพการณ์โดยไม่ยึดติดความสำเร็จเดิมๆ
หรือการ attract & retain พนักงานเก่งๆ ด้วยการคิดนโยบายสวัสดิการเจ๋งๆ เช่น
- ลาคลอด 180 วัน
- ลาไปผ่าตัดแปลงเพศ
- ฟรีค่าฟิตเนสออกกำลังกาย
- ให้งบพนักงานไปซื้อหนังสือฟรี 1 เล่มทุกเดือน
สวัสดิการเจ๋งๆ แบบนี้ยังไวรัลทำหน้าที่ PR ให้บริษัทไปในตัว
แนวคิดการใช้ชีวิต-การทำงานของ คุณรวิศ หาญอุตสาหะ มี core value ที่ค่อนข้างเรียบง่าย ไม่ว่าจะการบริหารเวลา การยอมรับผิด การเปิดกว้างสิ่งใหม่ๆ แต่เขาดันแท่งบาร์ขึ้นไปให้สุด ทำแบบลงลึกแอดวานซ์ และมีวินัยทำต่อเนื่องมากพอ (เช่น ลงพอตแคสต์ทุกวันติดต่อกันมา 4-5 ปีแล้ว)
นี่ก็เป็นสิ่งที่คนระดับหัวหน้างาน-ผู้บริหาร น่าจะเริ่มต้นทำได้ไม่ยาก…และเริ่มได้เดี๋ยวนี้เลย!