ขณะที่ กิจวัตรเดิมๆ (Routine) จะเป็นอีกกระบวนการที่เรียกว่า “เก็บรวบรวม” (Recollection) ที่เกิดจากการเชื่อมโยงเส้นใยประสาท ‘เดิมๆ’ ในสมองให้ยึดโยงแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ข้อเสียของ Routine คือ นานวันเข้ามีโอกาสที่เราจะติดอยู่ใน “กะลา” อยู่ในกรอบโลกทัศน์ของตัวเอง
ข้อดีคือ เราจะชำนาญเรื่องนั้นเชิงลึกและทำได้คล่องรวดเร็ว
แต่โลกทุกวันนี้เปลี่ยนไปเร็วมากๆ สิ่งที่เรารู้ถูก Disrupt ถูกแทนที่ด้วยเรื่องใหม่อยู่ตลอด จะมีประสิทธิภาพกับโลกปัจจุบันกว่ามากไหม? ถ้าเรารู้รอบด้าน พยายามเอาตัวเองไปสัมผัสมุมมองใหม่ๆ
คำถามคือ เราจะเริ่มต้นทำได้อย่างไร? พบกับ 5 วิธีที่เริ่มได้ง่ายกว่าที่คิด..
5 วิธีจุดประกายความคิดสู่ Perspective ใหม่ๆ
- ทำทุกอย่างเหมือนเดิม…แต่ “กลับด้าน”
เราเริ่มด้วยวิธีการง่ายๆ สำหรับผู้เริ่มต้น ยังไม่ต้องขวนขวายสิ่งใหม่ใดๆ ทั้งสิ้น
ให้ทำกิจวัตรประจำวันทุกอย่างเหมือนเดิมไปก่อน…แต่ให้ “กลับด้าน”
- ปกติถือและดื่มกาแฟด้วยมือขวา…เปลี่ยนเป็นถือและดื่มด้วยมือซ้าย
- ปกติวิ่งที่สวนทิศทางตามเข็มนาฬิกา…เปลี่ยนเป็นวิ่งทวนเข็มนาฬิกา
- ปกติทาครีมหน้าด้วยนิ้วนางขวา…เปลี่ยนเป็นทาครีมด้วยนิ้วนางซ้าย
- ปกติขับรถไปทำงานผ่านซอย A…เปลี่ยนเป็นซอย B (ถ้าพอมีทาง)
วิธีเหล่านี้ไม่ทำให้สมองเครียดเกินไป เป็นเหมือนการ ‘อุ่นเครื่อง’ สมองให้เตรียมพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่กำลังจะตามมา
- ลิสท์เรื่องที่ “ไม่คุ้นเคย” …แล้วลงมือทำ
วิธีนี้เป็นการหา Input ที่ ‘หลากหลาย’ ไปในตัว
คุณอัศวิน พานิชวัฒนา หรือ “พี่หนึ่ง” ผู้คว่ำหวอดในวงการ Creative ของเมืองไทยเผยเคล็ดลับว่า ก่อนจะลงงานคิดดำดิ่งเรื่องไหน ให้รวบรวม Input มากองไว้ก่อนให้ได้มากที่สุด
และควรเป็น Input ที่หลากหลาย ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องโดยตรงกับประเด็นที่เราคิดเสมอไป (ดังที่บอกว่า Creativity เกิดจากการเชื่อมโยงสิ่ง ‘ใหม่’ เข้าด้วยกัน)
“ยิ่งหาข้อมูลได้เยอะ คุณจะยิ่งคิดงานออกเยอะ” พี่หนึ่งเคยฝากไว้กับทาง CareerVisa
เริ่มจากเรื่องใกล้ตัวได้ง่ายๆ เช่น ปกติอ่านแต่หนังสือบริหารธุรกิจ ลองเปลี่ยนมาอ่านประวัติศาสตร์หรือจิตวิทยาดูบ้างเพื่อหาความเชื่อมโยง คุณอาจรู้ประวัติศาสตร์ Pattern วิกฤติเศรษฐกิจของศตวรรษที่แล้วเพื่อมาประเมินปัจจุบัน หรือ รู้จิตวิทยาเบื้องหลังว่า ที่ลูกค้าไม่ซื้อสินค้าคุณเพราะคุณดันมอบตัวเลือกเยอะเกินไป (Paradox of Choice)
ความยากในการปะทะสิ่งที่ไม่คุ้นเคยคือ “ความกลัว” ตามธรรมชาติของมนุษย์ในสิ่งที่ตนไม่รู้ไม่คุ้นเคย และช่วงแรกๆ จะเกิด “แรงต้าน” สูงมากเพราะเราไม่ชิน เป็นอุปสรรคที่ต้องฝ่าใปให้ได้
- สงสัย สงสัย สงสัย
จากที่เดินผ่านทุกวัน เห็นเป็นประจำ แต่ก็ไม่เคยใส่ใจ ไม่เคยเก็บมาขบคิดวิเคราะห์ คราวนี้คุณลองท้าทายตัวเองด้วยการวิเคราะห์สิ่งต่างๆ รอบตัวว่า…สิ่งที่เห็นตรงหน้า…ทำไมมันต้องเป็นแบบนั้น?
Simon Sinek ผู้เขียนหนังสือที่มีอิทธิพลมากในโลกธุรกิจอย่าง Start With Why เผยว่า การถามด้วย “ทำไม” คือแก่นแท้ที่สุดที่จะพาเราไปสู่คำตอบถึงจุดประสงค์ที่สร้างสินค้าบริการนั้นขึ้นมาแต่แรก
วิธีนี้เป็นการฝึกตัวเองให้เป็นคนใคร่รู้อยู่ตลอดและสังเกตสิ่งรอบตัวด้วยสายตาที่สดใหม่ไปในตัว
ลองดูตัวอย่างง่ายๆ สมมติว่าคุณไม่ใช่คอกาแฟแต่นึกสงสัยว่าทำไมร้านกาแฟ Mother’s Roaster ถึงคนเต็มตลอด จึงเดินทางไปลองครั้งแรกที่สาขาใหญ่ตรงตลาดน้อย
คุณพบว่าแม้โลเคชั่นร้านจะไม่ได้เดินทางสะดวกนักเมื่อเทียบกับร้านอื่น ไม่มีที่จอดรถหน้าร้านหรือติดรถไฟฟ้า แต่ความยากลำบากกว่าปกติในการเดินทางมานี่เองกลับกลายเป็นเหมือน Journey ที่ต้องดันทุรังเข้ามา…ซึ่งสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของย่านที่มีความเป็น Street Art ผู้คนเดินเที่ยวและถ่ายรูปเก๋ๆ ตามมุมต่างๆ
หลังดื่มด่ำกาแฟรสชาติดีไปแล้ว คุณสังเกตอีกว่าทำไมบาริสต้าที่นี่หลายคนเป็น “ผู้สูงวัย” จึงถาม “ป้าพิม” เจ้าของร้านวัย 70+ และได้คำตอบว่า ตอนเปิดร้านเค้าตั้งใจเป็นสถานที่ที่ให้คนแก่ออกจากบ้านมาใช้ชีวิตข้างนอกกัน เพราะไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยแล้ว สัดส่วนผู้สูงวัยมีแต่เพิ่มเรื่อยๆ
เราจะเห็นว่าเรื่องราวที่ได้รับรู้สามารถจุดประกายความคิดนำไปต่อยอดได้ ไม่ว่าจะ
- โลเคชั่นร้านในบางธุรกิจอาจไม่จำเป็นต้องสะดวกสบายที่สุดเสมอไป
- คนไม่ได้ซื้อคุณแค่สินค้าแต่อุดหนุนเพราะคุณมีจุดยืนอุดมการณ์บางอย่างด้วย
- โอกาสตลาดผู้สูงวัยที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
จากเดิมที่เรื่องกาแฟดูเหมือนไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง กลับมอบมุมมองใหม่ให้เราได้
- คุยกับคนต่างวัย
แนะนำให้เป็นคนที่อยู่ต่างเจเนอเรชั่นกับเราไปเลย โดยการทำงานหลักๆ มีอยู่ 4 เจนด้วยกัน: Baby Boomers / Gen X / Gen Y / Gen Z
Creative แถวหน้าอย่างพี่หนึ่งยังบอกว่า เขาชอบคุยกับเด็กรุ่นใหม่มาก การปะทะกับมุมมองของคนต่างเจเนอเรชั่นที่อายุห่างกันกว่า 20 ปีและเติบโตมากับโลกที่แตกต่างกันสิ้นเชิง ได้เปิดมุมมองได้อัพเดทว่าคนยุคนี้คิดยังไง เติมเต็มช่องว่างระหว่างวัย (Generation Gap) ที่หายไป
ซึ่งสอดคล้องกับหน้าที่การงานเขาโดยตรงที่ต้อง “เข้าใจพฤติกรรม” กลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายตามแต่โจทย์ที่ได้มา
การพูดคุยกับคนต่างวัย-ต่างอาชีพ-ต่างฐานะ ยังเป็นการก้าวออกจาก Comfort Zone ออกจากโลกที่เราคุ้นเคย เตือนสติเราให้ไม่ด่วนสรุปเหมารวม (Stereotype) เช่น คนรุ่นเก่าหัวโบราณ-คนรุ่นใหม่หัวก้าวหน้า (ซึ่งไม่จริงเสมอไป) และฝึกเราให้มีการอดทนต่อความคิดเห็นต่าง (Tolerance)
โดยเฉพาะยุคนี้ เทคโนโลยีเปิดโอกาสให้เราสัมผัสความคิดคนต่างวัยได้ง่ายมาก ล่าสุดอย่าง Clubhouse ที่มีห้องสนทนาหลากหลายประเด็นจากผู้พูดหลากหลายวงการ ล้วนเป็นเชื้อเพลิงความคิดสร้างสรรค์ชั้นดี
- ทำเรื่องใหม่ติดต่อกันให้ได้อย่างน้อย 21 วัน
ในแง่ประสาทวิทยา ต้องใช้เวลาราว 21 วัน กว่าที่นิสัยและความคิดใหม่ๆ จะฝังรากลึก เป็นไปตามทฤษฎี 21 วัน (The 21-Day Habit)
อย่างไรก็ตาม Dr. Maxwell Maltz ผู้คิดค้นทฤษฎีนี้กล่าวว่า 21 วันเป็นเพียงตัวเลขเฉลี่ย ถ้าจะเอาชัวร์ๆ ลองทำติดต่อกัน 30-45 วัน ไปเลยจะเห็นผลชัดเจนที่สุด
ระยะเวลานี้ใช้ได้กับทุกวิธีการ (คุณอาจมีวิธีการเฉพาะในแบบตัวเองนอกเหนือจากข้อเหล่านี้ก็ได้) ระหว่างทาง สมองจะเริ่มคุ้นเคยกับการคิดนอกกรอบ คิดในมุมกลับ ความคิดที่อยู่นอกกระแส จนท้ายที่สุดเราอาจพบว่าตัวเอง ‘หัวครีเอทีฟ’ เพิ่มขึ้นไปอีกระดับแล้ว
.
บางครั้งการที่เราคุ้นเคยอยู่แต่ในกรอบความคิดของตัวเอง ก็ทำให้เรามองข้ามทางออกของปัญหา เราลองมาดูตัวอย่าง การค้นพบวิธีแก้ปัญหาที่เป็นเหมือน “เส้นผมบังภูเขา” กัน
CEO บริษัทยาสีฟันแห่งหนึ่งกำลังกลุ้มใจปัญหาในโรงงาน เพราะเกิดข้อผิดพลาด มียาสีฟันบางส่วนที่หลุดออกมามีแต่ “กล่องเปล่า” ไม่มียาสีฟันภายใน
เมื่อตรวจสอบจึงพบว่าเป็นเรื่องยากมากๆ ที่ระบบสายพานไฮเทคความเร็วสูงจะไม่มีกล่องเปล่าหลุดลอดออกมา (หรือความผิดพลาดเป็นศูนย์นั่นเอง)
CEO ทุ่มเงิน 250 ล้านติดตั้งระบบเครื่องชั่งน้ำหนักความเร็วสูงแบบพิเศษไว้ที่ปลายสายพานของโรงงาน ถ้ากล่องเปล่าหลุดออกมาเมื่อไร สายพานจะหยุดทันที เพื่อให้คนงานมาเก็บกล่อง ก่อนจะกด Reset ให้สายพานทำงานต่อ
ต่อมาปรากฎว่า ไม่เคยพบกล่องยาสีฟันกล่องเปล่าอีกเลย เป็นไปได้อย่างไร? CEO จึงลงพื้นที่มาดูกับตัวและพบคนงานคนหนึ่งตั้ง “พัดลม” ตัวเล็กๆ ก่อนถึงเครื่องชั่งไฮเทค
CEO สอบถามคนงานเพื่อที่จะพบว่าตัวเองโดนสอนงานเข้าให้แล้ว ที่ผ่านมาเมื่อเจอกล่องเปล่า สายพานจะหยุดทำงาน แล้วคนงานคนนี้ก็ต้องเดินไปกดปุ่ม Reset ทุกครั้ง ซึ่ง “เสียเวลา” การทำงานของเค้ามาก
คนงานจึงตั้งพัดลม “เป่ากล่องเปล่าลงตะกร้า” ไปเลย จบข่าว
“ถูกกว่า และ มีประสิทธิภาพกว่า” CEO พึ่งจ่ายเงิน 250 ล้าน แทนที่จะจ่ายเงินค่าพัดลม
.
.
และหลายครั้ง ก่อนที่เราจะจุดประกายมุมมองการทำงานใหม่ๆ ให้ตัวเอง…ต้องรู้จักตัวเองว่าชอบสายอาชีพไหนเสียก่อน มาทำ “แบบประเมินอาชีพ” จาก CareerVisa เพื่อค้นหาสายอาชีพที่ใจลึกๆ เราต้องการได้ที่ >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/
แต่ยังไม่รู้จะหางานอะไรดี? รีบเข้าไปที่ >>> www.careervisaassessment.com
อ้างอิง
- https://dakshtandon.medium.com/how-routine-kills-creativity
- https://www.elitedaily.com/life/culture/routine-killing-your-creativity
- https://www.theladders.com/career-advice
- https://www.psychologytoday.com/intl/blog/come-your-senses